综合资讯
当前位置:综合资讯 > 旅游 > 旅泰指南 > 正文

玩遍中國(泰文版)

ท่องเที่ยวจีน

ประเทศจีน หรือ
สาธารณะรัฐประชาชนจีน

ที่ตั้ง: ประเทศจีนตั้งอยู่ทางตะวันออกของทวีปเอเชีย ทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิค
มีพื้นที่ทั้งหมด 9,600,000 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก
รองจากประเทศรัสเซียและแคนาดา
ประเทศจีนมีชายแดนติดกับประเทศอื่นถึง 22,800 กิโลเมตร มีชายแดน
ติดกับประเทศต่าง ๆ ดังนี้
ทิศตะวันออก: ติดประเทศเกาหลี
ทิศเหนือ: ติดประเทศมองโกลเลีย
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ: ติดประเทศรัสเซีย
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ:
ติดประเทศคาซัสสถาน Kazakhstan, เคอ-
กิสสถาน Kyrgyzstan และทา่จิคิสสถาน Tajikistan
   
ทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้: ติดประเทศอินเดีย
อัฟกานิสสถาน
เนปาล ภูฐาน และปกกีสถาน
ทิศใต้: ติดประเทศพม่า ลาว
และเวียดนาม
ชายฝั่งทะเลตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้: ติดประเทศเกาหลี
ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย และอินโดเนียเซีย
เมืองหลวง: เป่ยจิง (Beijing)北京 (มีพื้นที่ 16,800 ตร.กิโลเมตร ประชากร 12.59 ล้านคน)
สภาพอากาศ:
สภาพอากาศของประเทศจีนส่วนใหญ่ยึดตามสภาพอากาศในเขตภาคเหนือที่ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม
โดยในเดือนกันยายนและตุลาคมไปจนถึงเดือนมีนาคมและเมษายนของปีถัดไป
จะได้รับลมมรสุมจากที่ไซบีเรียและที่ราบสูงมองโกเลียพัดเข้าสู่ประเทศจีน
ทำให้เอากาศแห้งและหนาวเย็น และทำให้อุณหภูมิแตกต่างกันถึง 40 องศาเซลเซียสระหว่างทางเหนือกับทางใต้ของประเทศ อุณหภูมิในฤดูหนาวจะอยู่ที่ระหว่าง 5-18 องศาเซลเซียสซึ่งหนาวกว่าประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ในเส้นละติจุดเดียวกัน
ในฤดูร้อนนั้น
ลมมรสุมพัดจากมหาสมุทรเข้าสู่แผ่นดินจึงนำเอาความอบอุ่นและความชุ่มชื้นซึ่งก่อให้เกิดฝนตก
ภูมิอากาศของประเทศจีนในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างกันอย่างมาก
อย่างทางเหนือของไฮหลงเจียง
黑龙江ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจะไม่มีฤดูร้อน ที่เกาะไห่หนาน 海南岛
หรือไหหลำทางใต้มีฤดูร้อนอันยาวนานแต่ไม่มีฤดูหนาว
ที่ลุ่มน้ำฮว่ายเหอมีครอบสี่ฤดู
ทางตะวันตกของประเทศแถบที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต มีหิมะปกคลุมทั้งปี
ทางตอนใต้แถบที่ราบสูงหยุนหนาน-กุ้ยโจวมีอากาศเย็นสบายเหมือนฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปีเช่นกัน
ด้านปริมาณน้ำฝนต่อปีก็แตกต่างกันตามแต่ละภูมิภาคเช่นกัน
เช่นปริมาณน้ำฝนต่อปีสูงถึง 1500 มม.ในแถบชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ และลดลงเหลือแค่ 50 มม.ในแผ่นดินตอนในในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ
วันสถาปนาประเทศ: วันที่ 1 ตุลาคม 1949 ประธานเหมาประกาศให้ชาวโลกได้รับทราบว่าประเทศจีนยุคใหม่ได้สถาปนาขั้นอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 ที่เทียนอันเหมิน
ประชากร: มีจำนวนทั้งสิ้น1.30756 ล้านล้านคนในปี 2005 หรือเท่ากับ22% ของจำนวนประชากรโลก
ศิลปะวัฒนธรรมจีน
เอ้อหู-ซอเสนาะสองหู
二胡เครื่องดนตรีจีนโบราณประเภทสายที่มีมายาวนานหลายพันปี
และเป็นเครื่องดนตรีที่คนไทยเราค่อนข้างคุ้นเคย
เนื่องจากองค์สมเด็จพระเทพฯก็เคยทรงเอ้อหูร่วมกับวงดนตรีจีน
เสียงเอ้อหูอาจค่อนข้างกลมกลืนกับดนตรีไทย
แต่ความเป็นมาและประเภทของเครื่องดนตรีเอ้อหูยังมีอะไรหลาย ๆ
อย่างที่น่าสนใจสำหรับเหล่าผู้รักดนตรีได้ศึกษามากมายคณะศิลปินคนพิการจีนร้องสิทธิเจ้าแม่-กวนอิมพันกร
จากการแสดงของคณะศิลปินคนพิการแห่งประเทศจีนเมื่อวันตรุษจีนปีที่แล้ว
ได้รับการกล่าวขานในความสวนงาม
ยิ่งใหญ่อลังการจนมีการเผยแพร่วีดีคลิปในอินเตอร์เน็ตอย่างอย่างกว้างขวาง
เทศกาลวันไหว้พระจันทร์
中秋节
ประเพณีวันไหว้พระจันทร์นับวันจะกลายเป็นวันทานขนมก้อนกลม ๆ
ที่เต็มไปด้วยไส้เสียแล้ว
ผู้คนต่างพากันลืมเลือนตำนานความเป็นมาที่มีความหมายและสวยงามถึงแม้ตำนานไม่อาจถือเป็นข้อเท็จจริงได้
แต่มันก็คือจิตวิญญาณที่แท้จริงของความเป็นมาแห่งเทศกาลที่ดีงาม
เทศกาลวันแห่งความรักวันที่ 7 เดือน 7ตำนานรักอมตะของเด็กเลี้ยงควายกับ สาวทอผ้า
七夕节牛郎织女爱情节ฝรั่งมีวันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งควาารัก
แต่ตะวันออกก็มีวันแห่งความรักซึ่งตรงกับปฏิทินจันทรคติวันที่ 7 เดือน 7 โดยกำหนดมาจากเรื่องราวความรักของเด็กเลี้ยงควายกับนางฟ้าสาวทอผ้า
เรื่องราวที่หวานชื่นยิ่งกว่าตำนานฝรั่ง
ศิลปะการเชิดหนังที่ใหญ่ที่สุดในโลก中国最大皮影剧
ศิลปะการเชิดหนังหรือที่บ้านเรารู้จักกันในชื่อ หนังตะลุงซึ่งกล่าวกันว่าเป็นศิลปะที่ได้รับการเผยแพร่จากอินโดนีเซีย
แต่สิ่งที่ท่านกำลังชมอยู่นี้เป็นการเชิดหนังที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากประเทศจีนที่ต้องบอกว่าสุดอลังการด้วยขนาดใหญ่โตของตัวหนัง
สีสรรที่สวยสด ฉากอันลดงาม ให้ชมทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง
สถานที่ท่องเที่ยว
1.กุ้ยหลิน
สวรรค์บนดิน

กุ้ยหลิน桂林สถานที่ได้รับฉายาว่า "สายน้ำขุนเขาแห่งกุ้ยหลิน สุดยอดในปัฎพี" หรือในภาษาจีน กล่าวว่า 桂林山水甲天下
อันเนื่องจากเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยขุนเขาท่ามกลางสายน้ำ อันเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อใน
ด้านความงามของเขตปกครองพิเศษชาวจ้วงแห่งมณฑลกว่างซี หรือกวางสี
ที่อยู่ทางทิสตะวันตกของ มณฑลกว่างตง โดยมีชายแดนติดกับทางเหนือของประเทศเวียตนาม
กุ้ยหลินซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกว่างสี
อันเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นหินปูน จึงทำให้เกิดเป็นภูเขาสูงแหลม ถ้ำ
กระแสน้ำ ทำให้เกิดภูผาในรูปร่างหน้าตาเสมือนเป็นปฏิมากรรมชิ้น เอกจากธรรมชาติ เช่น
ภูเขาช้าง 象山水月
หมอกฝนแห่งซือโจว 訾州烟雨
ม่านหยกธารทักษิน 南溪玉屏
จันทราแห่งแม่น้ำหยังเจียง 阳江秋月、โพฺธิ์โบราณพันปี 千年古榕、เสาเอกแห่งสวรรค์
南天一柱เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสถานที่ผู้เยี่ยมชมไม่อยากพลาดโอกาสไปเยือน
และอีกแห่งหนึ่งที่คนไทยเรา รู้จักกันดีและมักไม่พลาดคือ แม่น้ำหลีเจียง 漓江
ซึ่งถือเป็นจิตวิญญาณของกุ้ยหลินเลยทีเดียว และ หลีเจียงถูกขนานนามกว่า "หลีเจียง-ระเบียงจิตกรรมร้อยลี้" สาเหตุอันเนื่องจากความงดงามของตลอด
แนวของแม่น้ำอันวิจิตรงดงาม ชาวประมงที่พายเรือ เงาสะท้อนของภูผาสูงชัน
เกิดกว่าที่บรรยาย ยิ่งกว่า ภาพเขียนขั้นเยี่ยมใด ๆ
ไม่เฉพาะแต่ความงดงามของธรรมชาติเท่านั้น กุ้ยหลินยังมีประวัติอันยาวนาน
ย้อนหลังไปหนึ่งหมื่นปี ที่แล้ว ที่นี่เป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์วานรที่เรียกกว่า "มนุษย์เจิ้งผีเหยียน 甑皮岩人" นอกจากนี้ตั้งแต่
ราชวงศ์ฉินจนถึงช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ยังได้ตกทอดมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ไว้ที่นี่มากมาย เช่น
คลองขุดซิงอันหลิง 兴安灵渠
พระราชวังและสุสานจิ้งเจียง 靖江王府及王陵
ศูนย์บันชาการทหารแปดวิถี 八路军 (ทหารปลดแอกประชาชนเดิม) เป็นต้น
ซึ่งล้วนแต่มีคุณค่าทาง ประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น
2.แม่น้ำหลีเจียง(漓江)-ระเบียงจิตรกรรมธรรมชาติ
หลีเจียงมีต้นกำเนิดมาจาก
เทือกเขาเมืองกุ้ยเป่ยเยว่ 桂北越城岭บริเวณเขามาวเอ๋อ 猫儿山ที่ที่ซึ่งเรียกกันว่า หัวหนันตี้ยีเฟิง 华南第一峰ซึ่งยังเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยต้นไม้พงไพร
อากาศบริสุทธิ์ไร้มลพิษ แม่น้ำตอนบนส่วนที่เป็นสายน้ำหลักจะเรียกกันว่า "แม่น้ำหกถ้ำ" หรือ ลิ่วต้งเหอ 六峒河
สายน้ำทางทิศใต้ที่ไหลจนถึงปากน้ำที่อำเภอซิงอัน
兴安县สายน้ำฝั่งตะวันออก คือ หวงไป้เจียง 黄柏江
ทางตะวันตกคือชวนเจียง 川江
เมื่อไหลบรรจบกันเรียก หยงเจียง 溶江
จากเมืองหยงเจียงเจิ้ง 溶江鎮
ไหลผ่านหุนโจว灵川、กุ้ยหลิน桂林、หยังซั่ว阳朔,จนถึงผิงเล่อ平乐
รวมระยะทาง 160 กิโลเมตร
ช่วงนี้เรียกว่าหลีเจียง 漓江สองฝั่งของแม่น้ำหลีเจียงเต็มไปด้วยยอดเขาสูงยืนตระหง่าน
รูปร่างร้อยแปดพันเก้า แบบ บนเขามักจากปกคลุมด้วยต้นไม้ใบหญ้า
อีกทั้งดอกไม้ป่าขึ้นแซม มองจากไกล ๆ แลเห็นราวกับสาวงามยืนยิ้มรับผู้มาเยือน
ต้นไผ่บนฝั่ง ใบไผ่พริ้วไหวสะบัด ไปตาม สายลม
ดูราวกับชายกระโปรงของสาวน้อยปลิวสะบัด ช่างสวยงามยิ่ง อีกอย่างที่สวย
และน่าประทับใจมาก ๆ คือ เงากลับหัวของภูเขาที่สะท้อนในน้ำ บ้างก็เข้มชัดเจน
บ้างก็จืดจาง เสริมเด่นด้วยเรือลำน้อยของชาวประมง ใบเรือสีแดงสดเด่นสง่า
แล่นผ่านเงาสะท้อนที่กลับหัวของยอดเขา ดูราวกับเรือแล่นอยู่บนยอดเขาอย่างไร
อย่างนั้น ตลอดร้อยกว่ากิโลเมตรของแม่น้ำหลีเจียง ล้วนงดงามราวก้ับภาพเขียนพู่กัน
จีนของจิตรกรเอกแม่น้ำหลีเจียงในช่วงที่จากกุ้ยหลินถึงหยังหมิง 阳明
ระยะทาง 80 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ ที่มีลักษณะภูมิศาสตร์เป็นหินปูน บริเวณใกล้กับเมืองกุ้ยหลิน
สายน้ำขยายกว้าง ภูเขารูปทรงแปลก ๆ เสียดแทงขึ้นมาจากพื้นดิน เช่น
ผิงหวน平缓,เขาผูปอ伏波山、เขาเต๋ฉ่าย叠彩山、เขางวงช้าง象山、เขาทะลุ穿山、เขาเจดีย์塔山
เป็นต้น
บริเวณนี้จึงเป็นป่าเขาหินสูงชัน สายน้ำไหลอ้อมเขา หน้าผาสูงชัน
ทิวทัศน์ที่มีเสน่ห์ ชวนหลงไหล
โดยเฉพาะส่วนที่เป็นพื้นหญ้าเป็นริมฝั่งที่เป็นระดับไล่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้
มาเยือนจึงเสมือนเข้าสู่แดนเทพนิยายทั้งจิตและวิญญาณ หลีเจียงมีสี่ลักษณะเด่นคือ
เขาเขียว น้ำใส ถ้ำแปลก หินสวย และยังมีสันสีเขียว แอ่งน้ำลึก สายน้ำเชี่ยว
น้ำตกขาว กลางน้ำมีเกาะ ริมฝั่งมากหาด โขดหินคลื่นเชี่ยว พุ่มไม้เขียวขจี
ไผ่เขียวชูเด่น ล้วนเป็นองค์ประกอบในภาพเขียนธรรมชาติ
และเป็นภาพที่ไม่ซ้ำแบบเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและสถานที่บางคนกล่าวว่า
หลีเจียงคือบทกวีรักแรกพบ บ้างก็ว่าหลีเจียงคือภาพเขียนพู่กันจีนที่
เขาเขียวน้ำใสชวนหลงไหล หรืออาจจะบอกว่า หลีเจียงคือผลงานจิตรกรรมของผู้สร้าง
แล้วคำนิยามของคุณคืออะไร คุณคงต้องสัมผัสด้วยตนเองก่อนที่จะนิยาม…..
3.ที่นาขั้นบันไดหลงเซิ่ง-龙胜龙脊梯田

ที่นาขั้นบันไดที่แลดูเหมือนกับมังกรเลื้อยรอบเนินเขาที่เรียกว่า
ที่นาขั้นบันไดหลงเซิ่ง ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอำเภอหลงจี๊ 龙脊
แถบหมู่บ้านเหอผิง 和平
เนื่องจากบริเวณนี้ไม่มีพื้นที่ราบ
ชาวบ้านจึงทำนาบนภูเขาในลักษณะขั้นบันได โดยไล่ตั้งแต่ตีนเขาจนถึงยอดเขา
เนินเขาเตี้ยก็ดูเหมือนกับขดก้นหอย ส่วนภูเขาสูงก็ดู เหมือนเจดีย์
แต่ละขั้นต่ละชั้น สลับซ้อนเรียงกันสูงขึ้นเรื่อย ๆ มันช่างอัศจรรย์ยิ่ง
ที่นาขั้นบันไดหลงเซิ่งอยู่ห่างจากอำเภอหลงจี๊ 27 กม. และห่างจากกุ้ยหลิน 80 กม. มีพื้นที่นาทั้งหมด 66 ตารางกิโลเมตร และอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลระหว่าง 300-1100 เมตร ความลาดชัน 26-35 องศาส ส่วนที่ลาดชันที่สุดชันถึง 50 องศาส
ถึงแม้ที่นาขั้นบันไดจะมีอยู่ทั่วไปทางตอนใต้ของจีน แต่ว่าความกว้างใหญ่และ
ความสวยงามเหมือนกับที่หลงเซิ่งนั้นกลับหาดูได้ยากการทำนาขั้นบันไดที่นี่เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน
元朝 (ค.ศ. 1279-1368)และเสร็จสมบูรณ์ ต้นราชวงศ์ชิง 清朝 (ค.ศ. 1644-1911) หรือมีประวัติความเป็นมา ยาวนานกว่า 650 ปี
ทัศนียภาพของที่นาขั้นบันไดตลอดปีสี่ฤดูจะไม่เหมือนกัน ฤดูใบไม้พลิ
น้ำท่าอุดมเริ่มปักต้นกล้า จึงแลดูเหมือนสายสร้อยที่คล้องเรียงบนภูเขา ฤดูร้อน
ต้นข้าวเขียวขจี เหมือนคลื่นสีเขียวที่โหมพักมาเป็นระลอก ๆ จากฟากฟ้า
ในฤดูใบไม้ร่วง ต้นข้าวโตได้ที่พร้อมเก็บเกี่ยวด้วยสีเหลืองทองอร่ามดั่งเจดีย์ทองคำ
ส่วนฤดูหนาว มวลหิมะสีขาวปกคลุมทั่วทั้งภูเขา จึงดูราวกับเป็นผาหยกขาวในก้อนเมฆ
ในหมู่ที่นาขั้นบันไดที่เห็นเต็มภูเขาอันกว้างใหญ่นั้ัน
ที่น่าสนใจคือพื้นที่นาที่ใหญ่ที่สุดนั้น มีเนื้อที่เพียง 1/15 เฮคเตอร์เท่านั้น
ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่แคบ ๆ ที่สามารถปักต้นกล้าได้ เพียง 1-2 แถวเท่านั้น
ชาวบ้านที่ทำนาในบริเวณนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นชนชาติจ้วง และชนชาติแม้ว
ซึ่งเราสามารถสัมผัสวัฒนธรรมของชาวจ้วง ด้วยเครื่องแต่งกายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
การละเล่นระบำพื้นบ้าน ตลอดจนเสียงเพลงพื้นบ้านที่บ่งบอกถึงจิตวิญญาณ
ของชาวจ้วงอย่างแท้จริง
4.เขางวงช้าง 象鼻山
สวนเขากุญชร(เซี่ยงซัน)
象山公园สวนสาธารณะเขากุญชรหรือเขาช้างตั้งอยู่ในเมืองกุ้ยหลินบริเวณที่แม่น้ำหลีเจียง漓江
กับแม่น้ำถาวฮัว 桃花江
ไหลมาบรรจบกัน จากภายในสวนจะมองเห็นเขางวงช้าง
เด่นสง่าราวกับมีชีวิตท่ามกลางสายน้ำและขุนเขา
เขางวงช้าง
象鼻山ตั้งอยู่ใจกลางเมืองตรงบริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำหลีเจียงและแม่น้ำถาวฮัวเป็นหนึ่ง
ในภูเขาที่ขึ้นชื่อของกุ้ยหลิน จุดท่องเที่ยงที่น่าสนใจ อาทิ
ถ้ำจันทร์วารี(สุ่ยเยว์)
水月洞、ผาเนตรกุญชร象眼岩、เจดีย์ผู่เสียน普贤塔、วัดหงเฟิง宏峰寺ซึ่งภายในวัดเป็นที่แสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของไท่ผิงเทียนกั๊ว太平天国
ข้างเตียงยังมีเจดีย์เส้อลี่舍利塔
แห่งวัดไคหยวน 开元寺
ซึ่งเป็นวัดโบราณ ที่เริ่ม
สร้างในสมัยราชวงศ์สุย (ค.ศ. 581-617) แต่เสร็จสิ้นในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ถ้ำจันทร์วารีอยู่ติดริมแม่น้ำหลีเจียง สายน้ำไหลทะลุหินผาและดูเหมือน
กับพระจันทร์ลอยอยู่เหนือน้ำ
ส่วนหินเหนือถ้ำย้อยลงแม่น้ำเหมือนงวงช้างที่ยื่นลงเพื่อ ดื่มน้ำจากแม่น้ำหลีเจียง
แลดูน่าทึ่งและสวยงามยิ่งนัก นักกวีสมัยถังซ่ง 唐宋
เมื่อได้
มาเยือนเขางวงช้างแล้วประทับใจจนบรรยายเป็นบทกลอนดังนี้
ใต้น้ำมีจันทราสว่างไสว
เหนือน้ำมีจันทราลอยเด่น สายน้ำไหลแต่จันทรายัง
จันทร์ลับฟ้าสายน้ำยังคงไหลถ้ำจันทร์วารี(สุ่ยเยว์) 水月洞
ณ เขางวงช้าง
บริเวณระหว่างงวงช้างกับขาช้างนั้นจะเป็นถ้ำจันทร์วารี ซึ่งเกิดจากการ
ดันตัวของเปลือกโลกเมื่อประมาณ 12000 ปีก่อน ก่อให้เกิดช่องทะลุระหว่างทิศตะวันออก
กับตะวันตก ยาว 17 เมตร กว้าง 9.5 เมตร และสูง 12 เมตร ปากถ้ำหันไปทางตะวันออก
รับกับดวงอาทิตย์ขึ้น บางครั้งจึงเรียกถ้ำรับตะวัน(ฉาวหยาง) 朝阳洞
แต่ว่าถ้ำอยู่ในน้ำ
เวลารับแสงตะวันแล้วแลดูเหมือนพระจันทร์ดวงโตที่สว่างไสว
จึงเป็นที่มาของชื่อ
5.สองแควสี่ทะเลสาป
两江四湖
จุดบรรจบของสายน้ำธรรมชาติจากแม่น้ำสองสายคือ
หลีเจียง漓江、ถาวฮัวเจียง桃花江、กับทะเลสาป(หูในภาษาจีนคือทะเลสาป)
มู่หลงหู木龙湖、กุ้ยหู桂湖、หยงหู榕湖、และซันหู杉湖
เดิมทีมีเพียงสามทะเลสาปซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง
คือทะเลสาป กุ้ยหู หยงหู
ซันหู ส่วนมู่หลงหูเป็นการขุดขึ้นมาภายหล้ังเพื่อเชื่อโยงแม่น้ำหลีเจียงกับ
ทะเลสาปทั้งสาม
ตอนหลังจุดนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยงสำคัญแห่งหนึ่งของกุ้ยหลินรัฐบาลท้องถิ่นเมืองกุ้ยหลินได้ตัดสินใจในปี 1998 เชื่อมแม่น้ำและทะเลสาปทั้งหลาย โดยการก่อสร้างสะพานรวม 19 แห่ง
ปลูกพันธ์ไม้ต่าง ๆ เพื่อปรับทัศนียภาพรอบทะเลสาป และถนนหนทางโดยรอบ
นอกจากนั้น
ยังได้บูรณะโบราณสถาน เช่น เจดีย์ ศาลากลางน้ำ รวม 50 กว่าแห่ง
คิดเป็นพื้นที่ทั้งหมดหมื่นกว่าตารางเมตร
ปัจจุบันจึงกลายเป็นจุดดึงดูดด้านการท่องเที่ยง ในใจกลางเมือง โดยเฉพาะในงามค่ำคือ
ที่งดงามตระกานตาด้วยแสงสีซึ่งต่างจากภาพอัน
งดงามตามธรรมชาติในกลางวัน
6.สวนเจ็ดดาว 七星公园

สวนเจ็ดดาวหรือ "ชีซิงกงหยวน 七星公园" ตั้งอยู่ในเมืองกุ้ยหลินห่างจากใจกลางเมือง เพียง 1.5 กิโลเมตร
บนริมฝั่งแม่น้ำหลีเจียงทางตะวันออก มีพื้นที่ 137.4 เฮคเตอร์
เนื่องจากอยู่ติดกับเขาเจ็ดดาว 七星山
จึงเป็นที่มาของชื่อสวนแห่งนี้
เป็นสวนที่มีถ้ำเป็น จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุด ภูเขาเจ็ดดาวเป็นภูเขาเจ็ดยอด
โดยอยู่ทางทิศเหนือสี่ยอดเรียก เขาผู่ถัว 普陀山
ทางทิศใต้สามยอดเรียกเขาเยว่หยา 月牙山
ภูเขาเหล่านี้มีถ้ำมากมาย
และถ้ำที่เป็นที่รู้จักและนิยมท่องเที่ยวสวนใหญ่อยู่ในส่วนของเขาผู่ถัว
ซึ่งเป็นถ้ำที่กว้าง และลึก สวยงามด้วยหินงอกหินย้อย เสาหิน
ม่านหิน….อันวิจิตงดงาม สถานที่แห่งนี้ เป็นที่รู้จัก
และเป็นที่นิยมท่องเที่ยวมามากกว่า 1000 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง
และมีป้ายโบราณซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากกว่า 500 ชิ้น
ช่วยเสริมให้สถานที่นี้มีความลึกซึ้งในประวัติศาสตร์ยิ่งขึ้น
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในสวนเจ็ดดาว อาทิ สะพานบุปผา 花桥
อยู่ทางทิศตะวันตกของสวน
เป็นสะพานเล็ก ๆ ข้ามบริเวณที่เป็น จุดบรรจบของลำธานเสี่ยวตงเจียง
小东江กับลำธารหลิงเจี้ยนชี 灵剑溪
สะพานนี้ เดิมเรียกว่า สะพานเจียซี
嘉熙桥、สะพานเทียนจู้(เสาสวรรค์)天柱桥
เป็นสะพานหินโค้ง เริ่มสร้างในสมัยราชวงศ์ซ่ง 宋朝
และทำการบูรณะใหญ่สองครั้งในราชวงศ์หมิง ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน
บริเวณสะพานจะมีดอกไม้ขึ้นมากมาย ตอนหลังจะเรียกตามที่เห็น คือ
สะพานบุปผาจิตกรรมฝาผนังหัวเซี่ยจือกวง 华夏之光
เป็นภาพเขียนบนผนังอันเป็นผลงานของ
อาจารย์หยวนอวู่ผู่ 袁运甫
หยวนจั่ว袁佐、หยวนเจีย袁加
แห่งสถาบันวิจิตรศิลป 中央工艺美术学院
ร่วมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้สร้างสรรค์ภาพเขียนบนกำแพงแห่งนี้ที่เรียกว่า "แสงตะวันแห่งชนชาติจีน华夏之光 " ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะและ วิทยาศาสตร์
ภาพเขียนจะแสดงถึงวิทยาการแพทย์จีนโบราณ การเดินทะเล โลหะวิทยา ชีวะวิทยา
คณิตศาสตร์ ศิลปศาตร์ ปรัชญา ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เกษตรศาสตร์
สี่วิทยาการของโลก(การค้นพบกระดาษ การพิมพ์ เข็มทิศ ดินปืน)
ซึ่งล้วนเป็นความภาคภูมิของชาวจีนที่แสดงถึงสติปัญญาของชนชาติจีน
เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาและสืบทอดต่อไปถ้ำเจ็ดดาว 七星岩
ถ้ำแห่งนี้เดิมเป็นลำธารใต้บาดารเมื่อหลายร้อยปีก่อน จนก่อให้เกิด หินงอก หินย้อย
เสาหิน ม่านหิน ในรูปร่างหน้าตาต่าง ๆ อันสวยงาม เขาอูฐ 骆驼山
ภูเขารูปร่างคล้านหลังอูฐนี้เกิดจากการดันตัวของเปลือกโลก เดิมเรียก เขาจอกสุรา 酒壶山
ซึ่งปัจจุบันนี้ บนหน้าผาทางใต้ยังมีคำอักษรจีน 壶山
สลักอยู่บน หน้าผา
สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ปลีกวิเวกของเหล่านักปราชย์ ที่มาอิงแอบอยู่ในภูเขา
แห่งนี้ ยังชีพโดยการปลูกผลไม้พืชผัก
เมื่อเสียชีิวิตก็ฝังร่างอยู่ทางใต้ของเขาแห่งนี้ วัดโบราณซีเสีย栖霞古寺
วัดแห่งนี้เริ่มสร้างในสมัยราชวงศ์ถัง ตรงกับเทียนเป่า 天宝
ปีที่ 9 (ค.ศ. 650) นักบวชเซี่ยเจิ้งซ่วน 鉴真率
ได้แวะมาที่มาเพื่อเผยแพร่ธรรมะ สมัยราชวงหยวน
นักบวชถังต้าถุน 唐大淳
ทำการก่อสร้างวัดขึ้นใหม่ สมัยราชวงศ์ชิง
ซุ่นเจื้อ 顺治
ปีที่ 8 ได้ส่งพระสงฆ์มาจำวัดที่นี่ และได้ยกระดับให้เป็นศูนย์กลาง
พุทธศาสนาของภาคตะวันตกเฉียงใต้ ในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น วัดแห่งนี้ได้รับความ
เสียหายอย่างหนัก และได้ก่อสร้างขึ้นมาใหม่เสร็จสมบูรย์ในวันที่ 28 กันยายน 2002 วัดที่สร้างขึ้นมาใหม่ ได้สร้างอาคารศาลาต่าง ๆ อาทิ ศาลาเทียนหวัง
天王殿、ศาลาต้าสงเป่า大雄宝殿、ศาลากวนอิม观音殿、และหอพระไตรปิฏก藏经阁
พื้นที่ตรงกลางและปีกทางทิศเหนือใช้การออกแบบแบบเจียงหนัน 江南
การจัดสวน ระเบียงคด
ทางเดิน สระบัว ห้องทานเจ ห้องสวดมนต์ กุฏิเจ้าอาวาส
ภายในยังประดิษฐานพระพุทธรูปที่นำรูปแบบจากตุนหวง 敦煌 (สถานที่แห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นถ้ำในทะเลทรายบนเส้นทางสายไหม) กวนอิมหยกขาว เทพทั้งสี่บนสวรรค์
แบบศิลปะในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งถือเป็นแหล่งรวมของพุทธศิลป์ ดงหลักศิลากุ้ยไห่ 桂海碑林
เขตปกครองตนเองชาวจ้วงมณฑลกว่างซีเป็นแหล่ง
สำคัญในการอนุรักษ์หลักฐานศิลปะวัฒนธรรมโบราณ ในเมืองกุ้ยหลิน บริเวณสวนเจ็ดดาว
ที่เขาเยว่หงา月牙山
ตรงตีนเขาทิศใต้ของหยาวกวงเฟิง 瑶光峰南麓
มีถ้ำมังกรเร้นกาย (ถ้ำหลงหยิ่น)龙隐洞จะเป็นสถานที่เก็บหลักศิลาที่แกะสลักจำนวนมากมาย จนดูเหมือน
เป็นดังป่าหลักหิน นับได้เบ็ดเสร็จแล้วรวม 220 กว่าแผ่น
เนื้อหาที่แกะสลักบนแผ่นศิลา นั้นมีทั้งเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร
ศิลปะวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ของชนกลุ่ม น้อยต่าง ๆ เป็นต้น
แผ่นที่มีอายุยาวนานที่สุดคือ แผ่นที่เป็นของสมัยราชวงศ์ถังในสมัย ถังจวินจง
เฉียนหนิงปีที่ 1唐昭宗乾宁元年 (ค.ศ. 894) ส่วนใหญ่เป็นบทกวี ในสมัย ราชวงศ์ซ่งก็มี 130 แผ่น ซึ่งเนื้อหาสะท้อนการเมืองในสมัยปลายซ่งเหนือ 北宋
ซึ่งมี
คุณค่าทางประวัติศาสต์สูงมาก สมัยราชวงศ์ชิง ตรงกับคังซีปีที่ 4 (ค.ศ. 1665) ซึ่งเป็นการแกะสลักภาพเจ้าแม่กวนอินที่มีความละเอียดงดงามมาก เส้นสายต่าง ๆ
มีความละเอียด ชัดเจน อ่อนช้อย เป็นสิ่งล้ำค่าทางพุทธศาสนา
7.เขาหลูตี๋
芦笛山

ถ้ำหลูตี๋อยู่ทางทิศตะวันตำเฉียงเหนือของเมืองกุ้ยหลิน
ห่างจากตัวเมือง 5 กิโลเมตร เป็นสถานที่สำหรับคนที่ชอบเที่ยวถ้ำเป็นหลัก
และชมทิวทัศน์และชีวิตชาวบ้านในชนบท เป็นของแถม ตัวถ้ำมีความลึก 240 เมตร
ภายในเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย รูปร่างหน้าตา แปลก ๆ มากมาย บ้างก็เป็นรูปเสา
รูปเจดีย์ รูปม่าน แต่ถึงขึ้นชื่อและเป็นที่สนใจของ นักท่องเที่ยวอย่างมาก คือ
หินมังกรรอบเจดีย์ หินสิงห์เริงรับตะวัน หินป่าดึกดำบรรพ์ หินป่าหิมพาน
และวังคริสตัล เป็นต้น ถ้ำนี้จึงได้รับการขนานนามว่า "ห้องแกลเลอลี่ศิลปะธรรมชาติ"
ถ้ำนี้ได้มีอาคันตุกะมาเยือนตั้งแต่ ค.ศ. 792 ในสมัยราชวงศ์ถัง
ภายในผนังถ้ำจึงภาพเขียน ประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยพู่กันอยู่ถึง 77 ภาพ
เดิมที่ถ้ำนี้ไม่เป็นที่รู้จัก เนื่องจากปากถ้ำแคบ ๆ และปกคลุมไปด้วยหญ้าหลูตี๋
芦荻草
ซึ่งชาวบ้านนำหญ้านี้มาทำขลุ่ย หรือ
จึงเป็นที่มาของชื่อถ้ำ
ส่วนที่ไม่เป็นที่รู้จักนั้น นอกจากปากถ้ำไม่เป็นที่สังเกตแล้ว
ชาวบ้านที่รู้ในละแวกนั้นก็ช่วยกันปกปิดไม่ยอม แพร่งพรายออกไป
เนื่องจากสมัยนั้นบ้านเืมืองไม่สงบ ชาวบ้านจึงใช้ถ้ำนี้สำหรับหลบภัย
แต่หลังจากประเทศจีนปลดปล่อยแล้ว ความจำเป็นใช้ถ้ำหลบภัยก็หมดไป ถ้ำนี้จึงได้ถูก
เปิดเผย
และได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญจนทุกวันนี้
8.แสงสีเสียง-หลิวซันเจ่
印象刘三姐

โรงละครที่มีฉากธรรมชาติสายน้ำและขุนเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
การกำกับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในโลก ละครร้องบทเพลงพื้นบ้านที่สืบทอดยาวนานที่สุด
ฉากการแสดงอลังการที่สุด คงหาชมได้ไม่ง่ายนัก ด้วยฝีมือการกำกับของจางยี่เหมา 张艺谋
ที่โด่งดังจากภาพยนต์ เลื่องชื่อเรื่อง ฮีโร่ 英雄
พร้อมด้วยผู้ช่วยผู้กำกับหนุ่มอีกสองคน-หวังฉาวเกอ
王潮歌、และฝานเอยี่ยน樊跃ใช้เวลาในการศึกษาจัดเตียมสามปี จึงปรากฏเป็นการแสดงอัน
ยิ่งใหญ่ที่แสดงถึงวัฒนธรรมแห่งชีวิตที่แวดล้อมด้วยสายน้ำและขุนเขา วิถีชีวิตของ
ชนกลุ่มน้อยในเขตปกครองตนเองกว่างซี ท่วมกลางฉากธรรมชาติอันสวยงาม สร้างความ
ตื่นเต้น ประทับใจ
ในศิลปะการแสดง
บริเวณริมฝั่งตลอดแนวสองกิโลเมตรของแม่้น้ำหลีเจียง
ฉากหลังขุนเขาสิบสองลูก ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ไร้ขอบเขต
ประกอบขึ้นเป็นโรงละครธรรมชาติแห่งสายน้ำ และขุนเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ประกอบกับการลงทุนอันมหาศาลด้านแสง สี หมอกควันที่
ออกแบบสร้างขึ้นมาเฉพาะไม่เหมือนใคร ทำให้การแสดงเหมือนฝัน หรือ อยู่ในแดนเทพนิยาย
การแสดงเริ่มจากเวทีทั่วไปซึ่งมีพื้นที่อันจำกัด
ตามด้วยเวทีธรรมชาติที่คุณมองสุดลูกหูลูกตาของแม่น้ำหลีเจียง ขุนเขาแห่งกุ้ยหลิน
ให้ความรู้สึกของความเป็นธรรมชาติที่ปลอดโปร่ง การแสดงบนเวทีนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์
ของมนุษย์ ส่วนการแสดงในเวทีธรรมชาตินั้น เป็นสิ่งประดิษฐ์ร่วมของพระเจ้ากับมนุษย์
ยอดเขาที่อิงแอบ ภาพสะท้อนบนพื้นน้ำ หยดฝนและหมอกควัน เสียงเริงระบำของใบไผ่
แสดงจันทร์นวลผ่อง
สิ่งเหล่านี้พร้อมที่จะเป็นตัวละครที่โลดแล่นอยู่บนเวทีได้ทุกเมื่อ
สร้างสรรบทเพลงประกอบอันไพเราะงดงาม บทของตัวละครธรรมชาติเหล่านี้จะ
แปรเปลี่ยนไปตามเวลาฤดูกาล
ซึ่งดูเมื่อไรก็ล้วนได้บรรยากาศแปลกใหม่ที่ไม่ซ้ำกันเลยบทการแสดงยืดตามบทของ "ตามรอยหลิวซันเจ่ 印象刘三姐" โดยนำเอาองค์ประกอบ แห่งบทเพลงพื้นบ้าน
วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อย ชีวิตชาวประมงในแม่น้ำ หลีเจียง
ซึ่งเป็นวิถีชีวิตแห่งธรรมชาติ การดำรงอยู่ของมนุษย์ที่กลมกลืนอย่างลงตัว
และเป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมของกว่างซี คือหลิวซันเจ่ กับแหล่งท่องเที่ยว
ก้องโลก การแสดงในนักแสดงร่วม 600 ขีวิต ด้วยเครื่องแต่งกายที่แตกต่างกันไป อาทิ
ของชนชาติจ้วง 壮族、ชนชาติเย้า瑶族、และชนชาติแม้ว苗族
ใช้เวลาการแสดง ประมาณ 60 นาที
สำหรับผู้ชมจะชมบนริมแม่น้ำตลอดฝั่งสองกิโลเมตร โดยมีที่นั่งที่จัดไว้ ทั้งหมด 2200 ที่ แบ่งเป็นที่นั่งธรรมดา 2000 ที ที่เหลือเป็นที่นั่งระดับวีไอพี หมายเหตุ
หลิวซันเจ่ 刘三姐
เป็นชื่อภาพยนต์ที่สร้างในปี 1961 โดยใช้สถานที่ในการ
ถ่ายทำที่กุ้ยหลิน โดยเรื่องราวเกี่ยวกับนักร้องพื้นบ้านชาวจ้วงที่ชื่อหลิวซันเจ่
เป็นภาพยนต์ที่คลาสสิกสวยงาม ทั้งตัวละคร ภูเขา สายน้ำ เสียงเพลง จนเป็นที่ชื่นชอบ
และเป็นที่กล่าวขานของชาวจีนทั่วโลก
9.กำแพงเมืองจีน หรือ
ว่านหลี่ฉางเฉิง (Wan Li Cheng or Great Wall)
กำแพงเมืองจีน
เป็นสิ่งก่อสร้าง 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ตั้งอยู่ทางเหนือของกรุงปักกิ่งเป็นระยะประมาณ 70 กิโลเมตร เริ่มสร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว ในสมัยจ้านกว๋อทีแบ่งแยกดินแดน
ทำสงครามสู้รบเพื่อแย่งกันเป็นใหญ่ของแต่ละก๊ก
ต่างก็สร้างกำแพงเพื่อความมั่นคงของงตนเอง
แนวกำแพงจะทอดตัวลัดเลี้ยวไปตามแนวภูเขาเขตภาคเหนือของจีน ระยะทางยาวกว่า 10,000 ลี้ จึงเรียกว่า ว่านหลี่ฉางเฉิง” (กำแพงหมื่นลี้) ในอดีตเชื่อกันว่ายาวถึง 9,000 กิโลเมตร
มาถึงยุคของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้ทรงปราบปรามก๊กต่างๆ ทั้ง 6 ก๊กได้สำเร็จ รวบรวมจีนเป็นหนึ่งเดียว และเพื่อป้องกันชาวซงหนู
ชนเผ่าเร่ร่อนที่ทำปศุสัตว์ เข้ามาบุกรุกและปล้นสะดม จึงทรงสั่งให้ปรับปรุงกำแพง
และมีการบูรณะแก้ไขเพิ่มเติมทั้งในสมัยฮั่น ถัง และหมิง
ปัจจุบันที่เห็นเป็นกำแพงของราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368 – 1644)นับเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการนำอิฐมาสร้างกำแพงแทนการใช้ดินอัดตามแบบดั้งเดิม
ราชวงศ์หมิงสร้างกำแพงช่วงใหม่ขึ้นทางตอนบนของปักกิ่ง ยาว 630 กิโลเมตร
โดยหวังจะให้เป็นปราการและหอส่งต่อสัญญาณแจ้งเตือนให้ทางเมืองหลวงรู้ตัว
เพื่อจะได้เตรียมต้านรับการบุกโจมตีของชนเผ่าซงหนูจากทางเหนือได้ทันท่วงที
โดยทหารยามในหอคอย(สูง 12 เมตร) จะส่งสัญญาณไฟและสัญญาณควันต่อกันมาเป็นทอดๆ ทุกๆ 60 เมตร แต่ในที่สุด
กองทัพของแมนจูก็สามารถตีฝ่าแนวกำแพงเมืองจีนบุกเข้ายึดปักกิ่งได้
และตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นปกครองจีนแทนราชวงศ์หมิงได้สำเร็จในการก่อสร้างต่อเติม
และซ่อมแซมกำแพงเมืองตลอด ช่วงเวลาหลายร้อยปีต่อมา มีแรงงานถูกเกณฑ์มาหลายแสน
หลายล้านคน ส่วนใหญ่ก็ต้องมาทิ้งชีวิตและซากร่างเอาไว้ใต้กำแพงนั่นเอง
หลังจากนั้นกำแพงก็ต้องมาถูกทิ้งร้างทรุดโทรมในสภาพปรักหักพังเสียเป็นส่วนใหญ่
บางช่วงเห็นแต่เพียงแนวคันดินพอเป็นร่องรอยเท่านั้น ที่เคยกล่าวกันไว้ว่ากำแพงเมืองจีนนี้เป็นสิ่งปลูกสร้างเพียงหนึ่งเดียวบนพื้นโลกที่มนุษย์อวกาศสามารถเห็นได้จากนอกโลกประธานเหมาเจ๋อตุงเคยกล่าวไว้ว่าผู้ใดที่เกิดเป็นชายแล้วยังไม่เคยปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองจีน
ผู้นั้นไม่ใช่คนจริงกำแพงเมืองจีนช่วงที่มีคนนิยมมาเที่ยวชมมากที่สุดคือปาต๋าหลิ่ง” (Badaling) อยู่ห่างจากกรุงปักกิ่ง 67 กิโลเมตร
ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปีค.ศ.1957 วิวทิวทัศน์ขุนเขากำแพงแถบนี้สวยงาม
แนวของกำแพงเหยียดตัวไปตามแนวสันเขา สูงๆต่ำๆ แลดูคล้ายระลอกคลื่น
หรือมังกรยักษ์เลื้อยไปตามสันเขา มีความสูง 7 เมตร กว้าง 5 เมตร
สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง ใช้วัสดุทั้งดินอัดแข็ง หิน และอิฐ
มีหอไฟสัญญาณเป็นระยะๆตลอดรายทาง กำแพงช่วงที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่ยาว 2 กิโลเมตร
สามารถปีนป่ายเที่ยวได้อย่างสบายๆ
แต่พ้นจากนี้ไปก็จะมีสภาพหักพังจนไม่สามารถเดินได้ปลายกำแพงด้านเหนือมีกระเช้าไฟฟ้านำนักท่องเที่ยวขึ้น-ลงจากบริเวณลานจอดรถ
ที่เชิงกำแพงข้างล่างมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ โรงภาพยนตร์
รถทัวร์ แม้กระทั่งร้านฟาสต์ฟู้ด (ไก่ทอดเคเอฟซี) ก็ยังมี
แต่ในปัจจุบันทัวร์มักจะแวะชมช่วงที่อยู่ใกล้ที่สุด ผู้คนไม่หนาแน่นมากนักคือจีหย่งกวน”(Juyongguan) อยู่ห่างจากกรุงปักกิ่ง 50 กิโลเมตร
เป็นซุ้มประตูด่านปราการที่อยู่ใกล้ปักกิ่งมากที่สุด
เพิ่งเปิดให้คนมาเที่ยวชมเมื่อปี ค.ศ.1998 เป็นด่านสุดท้ายที่ปกป้องรักษาความปลอดภัยของปักกิ่ง สร้างในปี ค.ศ.1345 มีการจำหลักเรื่องราวทางพุทธศาสนา มีจารึกภาษาจีน ทิเบต สันสกฤต
และภาษาชนเผ่าทางเหนือประดับไว้ด้วย มีวัดและสวนอยู่กระจายในบริเวณใกล้เคียง
สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง หลายแห่งได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่
กำแพงในช่วงนี้ทอดยาวไปตามแนวเทือกเขาไท่หังซาน โดยมีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร
กำแพงเมืองจีนที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนมากจะเป็นกำแพงในสมัยราชวงศ์หมิง
ที่เริ่มจากด้านทิศตะวันออกด่านซานไห่กวน ติดทะเลเป๋อไห่ มาจรดด้านทิศตะวันตก
จบที่ด่านกานสูเจียอี่กวนในมณฑลกานสู ยาว 6,700 กิโลเมตร (ยาวที่สุดในโลก)
10.รู้จักกรุงปักกิ่ง
ปัจจุบันปักกิ่งมีประชากรทั้งสิ้นราว 11 ล้านคน โดยที่ 7 ล้านคนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นแออัดในเขตตัวเมือง
ทำให้ปักกิ่งกลายเป็นมหานครที่ใหญ่เป็นอันดับ 12 ของโลก
รายได้ต่อคนของชาวปักกิ่งเฉลี่ยเดือนละ 4,000 บาท ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 40 บาท
เป็นเมืองหลวงที่มีรถจักรยานมากที่สุดในโลกคือประมาณ 8 ล้านคัน รถยนต์กว่า 1 ล้านคัน รถแท๊กซี่ประมาณ 80,000 คัน(มีมากยิ่งกว่าเมืองใดในโลก)
ช่วงกลางคืนจะคิดค่าโดยสารเพิ่มขึ้นจากมิเตอร์อีกร้อยละ 20
วัด วัง
และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีขอทานมากขึ้นๆ (สมัยคอมมิวนิสต์ปกครองอยูนั้นไม่มีเลย)
พวกเขาเป็นชาวชนบทที่หลบหนีเข้ามาหางานทำในเมือง เพราะต้องการรายได้เพิ่ม
ส่วนใหญ่ต้องร่อนเร่อยู่ตามริมถนน หางานทำสารพัดอาชีพที่ได้เงินค่าจ้าง
เนื่องจากปักกิ่งเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจดีที่สุดในประเทศ ค่าครองชีพจึงสูงมาก
ปักกิ่งมีชนชั้นกลางเป็นปัญญาชนกับนักธุรกิจเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างรวดเร็ว
มีเศรษฐีเกิดขึ้นอยู่ไม่ขาดสาย ชาวปักกิ่งมองโลกในแง่ดี
มีความพึงพอใจกับสภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่ายุคคอมมิวนิสต์ที่เคร่งครัดในอดีต
และยังมองอนาคตข้างหน้าด้วยความหวัง
ทำให้ปักกิ่งเป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยความกระฉับกระเฉง มุ่งมั่น
และวาดหวังจะสร้างอนาคตที่สดใสเรืองรอง
• “
ปักกิ่งเดิมมีชื่อว่า เป่ยผิง (Beiping)” หมายถึง สันติภาพแห่งทิศเหนือต่อมาเปลี่ยนเป็น เป่ยจิง (Beijing)” แต่คนไทยสะดวกเรียกว่าปักกิ่งมากกว่าชื่ออื่นๆ
• “
เป่ยจิงแปลว่า
เมืองหลวงแห่งทิศเหนือ ซึ่งตรงกับตำแหน่งที่ตั้งของเมือง เมื่อราว 3,000 ปีมาแล้วปักกิ่งเคยเป็นเมืองสำคัญทางการค้าของชาวมองโกล เกาหลี จีนภาคกลาง
และมณฑลชานตง เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเหงียนเมื่อ 2,500 ปี มาแล้ว
รวมทั้งยังเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ต่างๆ ดังนี้
1.
ราชวงศ์เหลียว (ค.ศ. 907 – 1125)
2.
ราชวงศ์จิน (ค.ศ. 1115 – 1234)
3.
ราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1279 – 1368)
4.
ราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 – 1644)
5.
ราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644 – 1911)
ต่อมามีการปฏิวัติล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อปี ค.ศ. 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะ
ประกาศก่อตั้งรัฐบาลและให้กรุงปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ
ปัจจุบันกรุงปักกิ่งมีฐานะเป็นเขตปกครองพิเศษ เรียกว่า มหานครขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง มีพื้นที่ทั้งหมด 16,800 ตารางกิโลเมตร
เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอันเป็นองค์กรสูงสุดของประเทศรัฐบาลกลาง
หน่วยงานบริหารระดับสูง องค์กรนานาชาติ สถานทูตต่างๆ
ปักกิ่งแบ่งเป็น 6 เขตคือ
ตะวันออก ตะวันตก เชี่ยนอู่ เฉาหยาง ฉงเหวิน และไห่เตี้ยน
ความน่าสนใจของปักกิ่งคือ เนื้อแท้ที่แตกต่าง
แม้ว่ามองจากภายนอกอาจเห็นได้ว่าปักกิ่งยอมรับวัฒนธรรมของตะวันตก
มีนโยบายต่างประเทศและธุรกิจแบบตลาดเสรี ชื่นชอบสินค้านำเข้าต่างๆ เช่น ฟาสต์ฟู้ด
รถยนต์ ภาพยนตร์ เสื้อผ้า แฟชั่น โทรศัพท์มือถือ เครื่องสำอางและคอมพิวเตอร์
สักแค่ไหน แต่เนื้อในของปักกิ่งก็ยังคงความเป็นจีน
มีวิถีแบบจีนแฝงเร้นอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทำการปรับปรุงฟื้นฟูกรุงปักกิ่งด้วยเทคโนโลยีที่ได้รับมาจากรัสเซีย
มีการเวนคืนบ้านเรือน ทุบกำแพงเมืองเก่าเพื่อตัดขยายถนนอย่างมากมาย
จนทำให้ตัวเมืองถูกแบ่งออกคล้ายตารางสี่เหลี่ยม มีการก่อสร้างอนุสรณ์สถาน
ตึกสูงระฟ้า ช้อปปิ้งมอลล์ อาคารสำนักงาน อพาร์ทเมนต์ทันสมัย และสถานทูตประเทศต่างๆ
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งยังคงดำรงสภาพบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ แคบๆ
มุงหลังคาด้วยกระเบื้องสีเทา เรียกว่า ผิงฝางให้กลิ่นอายวัฒนธรรมของเมืองอันเก่าแก่เอาไว้ได้เป็นอย่างดี
ปักกิ่งในปัจจุบันมีโฉมหน้าของความทันสมัยที่ยังคงเสน่ห์ดั้งเดิมเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม
ถนนหนทางมีเอกลักษณ์ของความเป็นจีนปรากฎให้เห็น
บ้านเรือนสร้างล้อมลานบ้านเปิดโล่งในตรอกซอยแคบๆ ที่เรียกกันว่า หูท่ง” (Hutong) ซึ่งมองดูแล้วไม่ต่างไปจากบ้านในสมัยราชวงศ์ชิงเลย ย่านหูท่งและย่านการค้า
ไม่ว่าจะอยู่ในตัวเมืองซีกตะวันออกหรือตะวันตกต่างก็มีชีวิตชีวาและคึกคักจอแจเป็นที่สุด
ตามขั้นบันไดหน้าร้านทำผมหรือบูติกแบบยุโรป ก็มีซินแสผู้อาวุโสนั่งตั้งโต๊ะดูดวง
มีพ่อค้าขายผลไม้ตามทางเท้า และข้างหน้าประตูร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น
แมคโดนัลด์หรือเคนตั๊กกี้
ก็มีแม่ค้าเดินเร่ขายมันเผาและเกาลัดกันอย่างขวักไขว่
ปักกิ่ง
หรือเป่ยจิงมีฐานะเป็นเมืองหลวงของจีนยุคใหม่ เป็นศูนย์รวมความเป็นจีนในทุกๆ ด้าน
ที่มีมรดกของฮ่องเต้จากยุคราชวงศ์ต่างๆ ตกทอดกันมามากมายอยู่เหลือคณานับ
เมืองต้องห้าม (Forbidden City) ที่เคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิองค์ต่างๆ
ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี กำแพงเมืองจีนยาวหมื่นลี้
ช่วงที่ซ่อมแซมให้มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดก็อยู่ทางเหนือไปไม่ไกล
หลังระบอบกษัตริย์ล่มสลาย ปักกิ่งทำหน้าที่สืบทอดประวัติศาสตร์
ทั้งช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมก็ยังรับภาระในการปกปักรักษาศิลปะนานาชนิดเอาไว้
ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมไว้ถูกนำมาเปิดเผยต่อสายตาของชาวโลก
ในฐานะเมืองหลวงเศษเสี้ยวสุดท้ายของจีนยุคโบราณ
เมืองหลวงแห่งนี้มิได้มีเพียงงิ้วปักกิ่งให้ชม มีเป็ดปักกิ่งต้นตำรับให้ลิ้มลอง
หรือกายกรรมอันโด่งดังไปทั่วโลกให้สัมผัสกับตา แต่ยังมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
รถไฟฟ้าใต้ดิน อาหารฝรั่งเศส อาหารญี่ปุ่น
รวมไปถึงสปอร์ตบาร์ให้นั่งชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลหรือบาสเก็ตบอลอาชีพจากสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ชาวต่างชาติคุ้นเคยกับอาหารจีน (ที่หารับประทานได้ง่ายเพราะมีร้านอาหารจีนอยู่ทั่วโลกเกือบทุกประเทศ)
มากกว่าภาษาจีนที่คนทั้งประเทศพูดเขียนกันอยู่โดยทั่วไป โดยไม่ใช้ภาษาอื่นๆ เลย
ซึ่งก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับชาวต่างชาติที่ไม่รู้ภาษาจีน
ประเทศจีนมีภาษาท้องถิ่นหลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่ ชาวปักกิ่งพูดภาษาถิ่น
ซึ่งมีความใกล้เคียงกับภาษาผู่ทงฮั่ว หรือแมนดาริน
ที่ทางราชการกำหนดให้เป็นภาราชการ
อาหารปักกิ่งก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แตกต่างจากอาหารจีนทั่วไป มีรสชาติแบบอาหารจีนภาคเหนือ
ซึ่งไม่เหมือนอาหารจีนแมนดารินตามร้านอาหารจีนในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
ไม่เหมือนอาหารกวางตุ้ง เสฉวน และเซี่ยงไฮ้ในเอเซีย
รูปลักษณ์ของเมืองที่เปลี่ยนไปเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภายในเวลาแค่เพียงหนึ่งชั่วคน
ปักกิ่งก็พุ่งทะยานจากก้นเหวแห่งความยากจนและด้อยความเจริญ
ขึ้นมาเป็นศูนย์กลางด้านการปกครองของตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้เป็นผลสำเร็จ
ปักกิ่งเป็นหนึ่งในเมืองไม่กี่แห่งของจีนที่ได้ติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอก
เป็นที่ตั้งของสถานทูตต่างชาติมาแต่ครั้งอดีต ปักกิ่งได้ต้อนรับนักการทูต นักปราชญ์
ผู้เชี่ยวชาญ ศิลปิน นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่าเมืองใดๆ ในจีน
ปัจจุบันมีชาวปักกิ่งกว่า 100,000 คน ที่เกิดในต่างประเทศ
และส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างของบริษัทต่างชาติ
นอกจากนี้ปักกิ่งยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำ หน่วยงานรัฐบาล
และออฟฟิศทำงานของบริษัทต่างชาติมากมาย แต่อย่างไร ปักกิ่งก็ยังมีความเป็นปักกิ่ง
มีโบราณสถาน อุทยาน ย่านเก่าแก่ และศาสนสถานที่น่าสนใจกระจายอยู่ทั่วเมือง
การเที่ยวชมเมืองต้องใช้รถเมล์ รถแท๊กซี่ รถไฟฟ้าใต้ดิน และรถจักรยานเช่า
แม้จะมีถนนวงแหวนอยู่ถึง 6 วง แต่รถก็ยังติดมากเพราะรถยนต์ขายดี
ศูนย์กลางของปักกิ่งยังคงอยู่ที่เดิมคือ เมืองต้องห้ามบนถนนฉางอาน
ตรงข้ามกับจัตุรัสเทียนอันเหมิน หอเทียนถานตั้งอยู่ทางทิศใต้
พระราชวังฤดูร้อนอยู่ทางตะวันตก และกำแพงเมืองจีนอยู่ทางทิศเหนือ
ปักกิ่งได้ชื่อว่าเป็นขุมคลังที่รวบรวมเอามรดกจากยุคราชวงศ์ต่างๆ
เข้าไว้ด้วยกันมากที่สุดในประเทศ พร้อมกันนั้น
เมืองหลวงแห่งนี้ก็พัฒนาจนเกิดความเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว
เร็วเสียจนบางครั้งก็ทำให้วิตกถึงการอนุรักษ์มรดกจากยุคโบราณ
มีโครงการก่อสร้างใหญ่ๆ ผุดขึ้นมากมาย
โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การสร้างภาพลักษณ์แห่งความทันสมัยและความเป็นสากลเอาไว้ต้อนรับศตวรรษที่ 21 สำหรับกีฬาใหญ่ระดับโลกคือ โอลิมปิก ปี 2008
พระราชวังหลวงกู้กง หรือ
พระราชวังต้องห้าม (Gu Gong or Imperial Palace or Forbidden City)
ตั้งอยู่ด้านหลังพลับพลาเทียนอันเหมิน แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ยาวจากเหนือจรดใต้ 961 เมตร กว้าง 753 เมตร มีกำแพงวังล้อมรอบ ยาว 3 กิโลเมตร สูง 10 เมตร มีคูน้ำล้อมรอบ กว้าง 52 เมตร มีประตูวัง 4 ประตู 4 ทิศ
มีป้อมหอคอยกำแพงวังอยู่ 4 มุม มีพื้นที่ทั้งหมด 724,250 ตารางเมตร
มีตำหนักน้อยใหญ่ถึง 9,999 ห้อง
สร้างในสมัยพระเจ้าหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง
เมื่อปี ค.ศ. 1406 เป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิงและชิง รวมทั้งสิ้น 24 พระองค์ มีการบูรณะซ่อมแซมไปหลายครั้ง แต่ยังคงสถาปัตยกรรมเดิม
มีความสมบูรณ์แบบที่สุด ใหญ่ที่สุดและรักษาไว้ได้ดีที่สุด
รวมทั้งมีประวัติที่ยาวนานที่สุดในโลกอีกด้วย
ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ วังหน้าและวังใน
วังหน้าเป็นเขตที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการ
จัดงานพิธีต่างๆ รับเข้าเฝ้า
วังในเป็นเขตหวงห้าม ผู้ชายห้ามเข้า
ยกเว้นขันทีเท่านั้น
วังหน้ามี 3 ตำหนัก
เป็นศูนย์กลางที่สร้างอยู่บนเส้นแกนตรงกันเป็นเส้นตรง ดังนี้
1.
ตำหนักไถ่เหอ
เป็นตำหนักด้านหน้าที่สำคัญที่สุดและใหญ่ที่สุดในพระราชวังหลวง
ตั้งอยู่บนแท่นหินหยกขาวยกพื้นสูง 2 เมตรเศษ ล้อมรอบด้วยรั้วหินหยกขาว
แกะสลักเป็นเมฆ มังกร และหงส์ สร้างในปีค.ศ. 1420 สมัยของพระเจ้าหย่งเล่อ กว้าง 11 เมตร ลึก 5 เมตร หลังคาซ้อน 2 ชั้น สูง 35 เมตร พื้นที่ 2,377 ตารางเมตร
ปูด้วยอิฐ(ที่นวดด้วยแป้งทองคำ) ตรงกลางมีบัลลังก์มังกรสีทอง(มังกร 5 เล็บ
สัญลักษณ์ของฮ่องเต้อันสูงส่ง)
ใช้เป็นสถานที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการแผ่นดินรับการเข้าเฝ้าจากขุนนางขุนศึก
ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและอาคันตุกะชาวต่างต่างประเทศ
หลังคามุงกระเบื้องสีทอง(สีเฉพาะของฮ่องเต้เท่านั้น)
2.
ตำหนักจงเหอ
เป็นตำหนักหลังที่ 2 อยู่ด้านหลังตำหนักไถ่เหอ เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมียอดแหลม
ใช้เป็นสถานที่พักรอก่อนออกว่าราชการแผ่นดิน รับการรายงานจากข้าหลวงชั้นใน
รวมทั้งพิธีการจัดงานเข้าเฝ้า
หากมีงานพิธีแต่งตั้งพระราชินีและจัดงานใหญ่ในพระราชวังจะต้องตรวจเอกสารความเรียบร้อยของงาน
ณ ตำหนักแห่งนี้ล่วงหน้า 1 วัน
3.
ตำหนักเป่าเหอ เป็นตำหนักหลังที่ 3 อยู่หลังตำหนักจงเหอ เป็นตำหนักใหญ่ มีพื้นที่เท่ากับตำหนักไถ่เหอ
ภายในมีบัลลังก์ก่อสร้างโดยไม่มีเสาแถวที่ 2 ทำให้ห้องโถงด้านหน้าท้องพระโรงกว้างขึ้น ไม่บังสายพระเนตรพระองค์ฮ่องเต้
ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรองบรรดาหัวหน้าชนเผ่ากลุ่มน้อยต่างๆทุกปี ในวันที่ 30 เดือน 12 (วันสิ้นปีของจีน) พิธีอภิเษกสมรสของฮ่องเต้หรือโอรสธิดา
มาถึงในสมัยพระเจ้าเฉียนหลงใช้ที่นี่เป็นสถานที่สอบจอหงวน
องค์ฮ่องเต้เป็นผู้ออกข้อสอบและคุมสอบด้วยพระองค์เอง
โดยสอบในห้องท้องพระโรงแห่งนี้เอง
ผู้ที่สอบได้ที่ 1 มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
จะได้เป็น จอหงวนและเป็นลูกเขยของฮ่องเต้
ผู้ที่สอบได้ที่ 2 อาจมีหลายคน
จะได้เป็น ท่านฮั้วเป็นที่ปรึกษาประจำองค์ฮ่องเต้
ผู้ที่สอบได้ที่ 3 อีกหลายคน จะเรียกว่า ป่างเหี่ยนดำรงตำแหน่งรองผู้ช่วยฮ่องเต้
วังใน
เป็นเขตต้องห้ามสำหรับผู้ชาย
ทาสเพศชายที่จะเข้ามารับใช้ในวังได้นั้นต้องผ่านขั้นตอนการตอนให้เป็นขันทีเสียก่อน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียกับมเหสีและเหล่านางสนมใน
ขันทีมาจากชนชั้นยากจนเสียเป็นส่วนใหญ่ พวกพ่อค้าทาสจะลักพาตัวมาตั้งแต่เด็ก
แล้วส่งไปให้คนของตระกูลไป่ในกรุงปักกิ่งทำการตอน
ตอนเสร็จแล้วก็มีการออกใบรับรองส่งให้ราชสำนัก
ขันทีที่ฉลาดมีการศึกษาอาจได้เป็นกุนซือหรืออาจารย์ในวังหลวง
แต่ขันทีส่วนใหญ่ต้องทำงานหนักในโรงครัวและในสวนไปตลอดชีวิต
ทำผิดเล็กน้อยก็จะถูกโบยถูกเฆี่ยนตี ทำผิดมากโชคไม่ดีก็อาจถูกตัดหัวได้ง่าย
การได้เข้ามารับใช้ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์ ทำให้ขันทีบางคนสามารถกุมอำนาจเอาไว้ได้
สร้างความร่ำรวยให้ตนเองใช้ตำแหน่งใหญ่โตสร้างอิทธิพล
แสวงหาทรัพย์สินเงินทองในทางมิชอบ จนสามารถซื้อบ้าน ที่ดิน
ทำธุรกิจการค้านอกวังหลวง
พอเกษียณแล้วจะย้ายออกไปอยู่ตามวัดที่ตนเองเคยให้การอุปถัมภ์ด้วยการบริจาคเงินจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ
ในยุคราชวงศ์หมิงมีขันทีอยู่ในพระราชสำนักถึง 20,000 คน
แต่ภายหลังก็ค่อยๆลดจำนวนลงจนเหลือเพียง 1,500 คน
ในรัชกาลสุดท้ายก่อนที่ราชวงศ์ชิงจะล่มสลายเมื่อปี ค.ศ. 1991
การตอนหรือการตัดอวัยวะเพศทิ้งก็ใช่จะให้ผลเป็นที่น่าเชื่อถือได้เสมอไป
ข่าวลือเรื่องการลักลอบมีความสัมพันธ์กันระหว่างขันทีกับนางกำนัลก็มีให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง
คนทั่วไปมองขันทีว่าเป็นพวกน่าสมเพช มักถูกดูหมิ่นอยู่เสมอ เพราะ
การเป็นคนที่ไม่สามารถเพื่อมีบุตรสืบสกุลได้นั้นย่อมถูกเหยียดหยามเป็นธรรมดา
ดังนั้นพวกขันทีที่มีอำนาจมากๆ ก็จะซื้อบ้านเอาไว้นอกพระราชวังหลวง
ทำบันทึกอ้างอิงถึงการสืบทอดวงศ์ตระกูลลงมาเป็นรุ่นๆ
โดยมีการซื้อสตรีและทารกมาเป็นภรรยาและบุตร
ซื้อบ่าวทาสหรือแม้กระทั่งนางบำเรอหลายๆคนมาไว้ข้างกาย
เขตพระราชวังชั้นใน(วังใน) ประกอบด้วยตำหนักเฉียนชิงกง เจียวไถ่เตี่ยน คุนหมิงกง
ตำหนักตะวันออกและตะวันตก เป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ดำเนินการประจำวันทางการเมือง อาทิ
ตรวจเอกสาร ลงพระนามอนุมัติ ตัดสินความ และเป็นสถานที่พักอาศัยของพระราชวงศ์
พระราชินี พระสนม พระโอรส และพระธิดา รวมไปถึงมีพระราชอุทยานของฮ่องเต้
เขตวังในจะมีพระตำหนักที่มีความสำคัญอยู่ 2 หลังคือ
เฉียนชิงกง
เป็นตำหนักด้านหน้าของวังใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้
เพื่อตรวจเอกสารลงพระนามอนุมัติราชการแผ่นดินประจำวัน ต่อมาในปี ค.ศ. 1644 ทหารและชาวนาของหลี่จื้อเฉินทำการปฏิวัติ นำกำลังบุกเข้าปักกิ่ง
ซึ่งตรงกับรัชกาลฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์หมิง
พระเจ้าจูหยิวเจี่ยนชักกระบี่ฟันพระธิดาของพระองค์จนขาดสะพายแล่ง
แล้วทรงหนีออกจากพระราชวังไปแขวนคอตายที่ต้นสน ณ ภูเขาเหมยซาน(ปัจจุบันเรียกว่า
ภูเขาจิ่งซาน) ซึ่งอยู่ด้านหลังพระราชวังหลวง
หย่างซินเตี้ยน
เป็นตำหนักอยู่บริเวณด้านตะวันตกเฉียงใต้ของวังใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้
นัดพบปะพูดคุยกับพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ทั้งเรื่องการเมืองและการทหารในรัชสมัยพระเจ้าถงจื้อและกวางซี่ใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการหลังม่านของพระนางซูสีไทเฮา
รวมทั้งในสมัยฮ่องเต้องค์สุดท้าย เมื่อครั้งที่ ดร.ซุนยัดเซ็นทำการปฏิวัติ
จักพรรดิปูยีก็ทรงสละราชบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1962 ณ ตำหนักแห่งนี้
สำหรับประตูทางเข้าด้านหน้าของพระราชวังหลวงหลังพลับพลาเทียนอันเหมิน
ทางด้านทิศใต้ของพระราชวังจะมีซุ้มประตูไถ่เหอ
แนวกำแพงวังประกอบด้วยประตูใหญ่อยู่ตรงกลาง ประตูเล็ก 2 ข้าง รวม 3 ประตู
ประตูมีความลึกถึง 28 เมตร
ประตูใหญ่ตรงกลางเป็นประตูเข้าเฉพาะฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียว
คนอื่นห้ามเดินออกเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนเดินออกจะถูกประหารชีวิต
คนอื่นเดินออกได้เพียงประตูเดียวเท่านั้นคือประตูด้านทิศเหนือชื่อ เสินอู่เหมิน” (ประตูหลัง)
ประตูใหญ่ตรงกลาง
ในชั่วชีวิตของพระราชินีมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่จะได้เดินผ่านเข้าประตูนี้คือ
วันอภิเษกสมรส
นอกนั้นขุนนางและพระราชวงศ์ทุกพระองค์จะเดินเข้าพระราชวังทางประตูเล็กทั้งสองข้างเท่านั้น
จัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tian an Men or Gate of Heavenly Peace)
ที่ตั้ง :
ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง เป็นจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเนื้อที่ 2.5 ตารางกิโลเมตร หรือ 275 ไร่ สามารถบรรจุคนได้ถึง 2 ล้านคน
เป็นสถานที่จัดงานฉลองวันชาติ ( 1 ตุลาคมของทุกปี ) มีถนนรอบลานจัตุรัส 12 เลนทั้งสี่ทิศ ตรงใจกลางจัตุรัสมีอนุสาวรีย์วีรชน
ด้านทิศใต้เป็นหอระลึกถึงประธานเหมาเจ๋อตุง ( บรรจุศพของท่านไว้ในโลงแก้ว )
ทางใต้ลงมาจากหอระลึกคือ ซุ้มประตูเฉียนเหมิน(ประตูหน้า)
ด้านตะวันตกเป็นอาคารมหาศาลาประชาคม ที่ประชุมรัฐสภาขนาดมหึมา มีพื้นที่ถึง 172,000 ตารางเมตร สร้างในปี ค.ศ. 1959 ใช้เวลาสร้างเพียง 10 เดือน
มีที่นั่งประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึง 10,300 ที่นั่ง ความยาว 76 เมตร กว้าง 60 เมตร ตรงกลางไม่มีเสาค้ำ เป็นหอประชุมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ด้านเหนือของหอประชุมเป็นห้องจัดเลี้ยง บรรจุได้ถึง 5,000 ที่นั่ง ห้องยาว 90 เมตร
กว้าง 55 เมตร ตรงกลางไม่มีเสาค้ำ เป็นห้องจัดเลี้ยงที่ใหญ่ที่สุด
ส่วนด้านตะวันออกของจัตุรัสเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และการปฏิวัติ สร้างในปี
ค.ศ.1959 เก็บรักษาและแสดงโบราณวัตถุกว่า 900 ชิ้น แสดงผลงานค้นพบทางประวัติศาสตร์
โบราณคดี เป็นทั้งสถาบันวิจัย ที่มีคณะนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีมาประจำ
สิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจสำหรับการถ่ายรูปมากที่สุดก็คือพลับพลาเทียนอันเหมินเดิมเป็นซุ้มประตูหน้าของประตูวังภายในพระราชวังโบราณ
สร้างในปี ค.ศ.1417 สมัยราชวงศ์หมิง โดยพระเจ้าหย่งเล่อ ซุ้มกำแพงสูง 10 เมตร
บนผนังสองข้างมีคำขวัญเขียนว่า ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนจงเจริญด้านหนึ่ง และความสามัคคี ประชาชนทั่วโลกจงเจริญมีรูปประธานเหมาเจ๋อตุงขนาดใหญ่ติดอยู่ตรงกลางระหว่างป้ายคำขวัญบนซุ้มกำแพงเป็นพลับพลามีหลังคาซ้อนกัน 2 ชั้น เชิงงอนมีภาพบนคานมีแกะสลักบนชื่อ หลังคาสีเหลือง กำแพงทาสีเลือดหมู
ด้านหน้ากำแพงเป็นลำธารน้ำทองคำสะท้อนแสงระยิบระยับ
มีสะพานทองคำสร้างด้วยหินหยกขาวแกะสลักสวยงาม ด้านหน้าสะพานมีสิงโต 2 ตัว
ตั้งอยู่สองข้าง
จัตุรัสเทียนอันเหมินเป็นสัยลักษณ์ของประเทศจีน
เป็นส่วนหนึ่งของตราแผ่นดินจีน เหตุการณ์ใหญ่ๆทางการเมืองเกิดขึ้นที่นี่ อาทิ
การเคลื่อนไหวของนักศึกษา 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1919 การเดินขบวนรักชาติ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1935 การประกาศปฏิรูปสาธารณรัฐประชาชนจีน 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 การจัดงานระลึกถึงโจวเอินไหล 5 มิถุนายน ค.ศ. 1977 และกรณีการเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษา ในปีค.ศ. 1989 ซึ่งเกิดการปะทะกับกองทหารจนนองเลือด
กลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลกและรอยตำหนิของประวัติศาสตร์จีน
อย่างไรก็ตาม
จัตุรัสเทียนอันเหมินเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวนับแสนล้านในแต่ละปี
ใครมาเยือนปักกิ่งแล้วก็จะต้องมาเยี่ยมเยือนแทบทุกคน
ช้อปปิ้งปักกิ่ง ถนนหวังฟูจิ่ง : ตลาดรัสเซีย
ประเทศจีน
ถนนหวังฟูจิ่ง
แหล่งช้อปปิ้งที่ขึ้นชื่อของกรุงปักกิ่ง ถนนเส้นนี้เป็นไฮไลท์หนึ่งของปักกิ่ง
ร้านค้าทันสมัยอยู่ท่ามกลางตึกเก่าๆ
ที่นี่เป็นแหล่งช๊อปปิ้งเก่าแก่เป็นร้อยปีของปักกิ่ง
ทั้งสองข้างจะเป็นตึกเก่าเป็นร้อยๆ ปี ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ ห้างเก่าๆ
บางห้างก็ยังอยู่ บางส่วนได้มีการปรับปรุงเป็นห้างร้านทันสมัย
แนะนำให้ไปเดินในตอนกลางคืนครับ เพราะสีสันสวยงามมาก
ตลาดรัสเซีย
แหล่งช้อปปิ้งของก๊อปปี้มากมายของกรุงปักกิ่ง เป็นตึก 5 ชั้น + อีก 1 ชั้นใต้ดิน
ราคาสิ้นค้า ต้องต่อราคากันถึง 70-80 % ครับ (ติดแอร์ เดินสบาย (แต่ระวังแม่ค้าหน่อยนะครับ เพราะชอบบังคับให้ซื้อของ)
ชั้นใต้ดิน
มีสินค้าประเภท รองเท้า กระเป๋าเดินทางทุกชนิด เครื่องหนัง
ชั้น 1-4 มีสินค้าประเภทเสื้อผ้า ของฝากต่างๆมากมาย
ชั้น 5 เป็นศูนย์อาหารครับ

未经允许不得转载:综合资讯 » 玩遍中國(泰文版)

赞 (0)
分享到:更多 ()