6ตค.2519-19พค.2553 กับมุมมองการพัฒนาการเมืองไทยอย่างสร้างสรรค์
หากย้อนกลับไปในวันนี้เมื่อ 34 ปีก่อน นั่นก็คือวันที่ 6ตุลาคม ปี2519 ซึ่งนับเป็นวันมหาวิปโยคอีกวันหนึ่งทางการเมืองของประเทศไทย เมื่อเกิดเหตุการณ์ปราบปราม นิสิต นักศึกษา และประชาชน จนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาเหตุเพราะมีนักศึกษากลุ่มหนึ่งออกมาต่อต้านการกลับเข้าสู่ประเทศของ จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ในขณะนั้น และมีฉายาว่า "สุกิตติขจโร" ซึ่งกลุ่มนิสิตนักศึกษา ในนามศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ได้ออกมาชุมนุมประท้วงไม่ต้องการให้จอมพลถนอมกลับเข้าสู่ประเทศ ขณะที่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยออกมาต่อต้าน จนเกิดเหตุการณ์บานปลาย กลายเป็นความขัดแย้งที่ไม่อาจควบคุม นำมาซึ่งการสั่งใช้กำลังอย่างรุนแรงที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
หากเทียบเคียงกับความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน ที่มีความแตกแยกกัน ระหว่างคนในชาติมีความคิดเห็นไม่ตรงกันจนนำไปสู่การชุมนุมประท้วง และแบ่งเป็นฝักฝ่ายหลายหลากสี อย่างที่เห็นกันอยู่ตั้งแต่ปี 2549-2553 ทั้งนี้แม้สาเหตุที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงทั้ง 2 ยุค จะแตกต่างกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเบื้องหลังผู้ที่มีส่วนสำคัญทำให้เกิดขึ้นก็คือ กลุ่มนักการเมือง ที่ต้องการอำนาจนั้นมาไว้ในมือพวกของตน เพื่อบริหารประเทศ รวมทั้งแก่งแย่ง สืบทอด และหวงแหน อำนาจหากต้องเสียมันไป เป็นข้อบ่งชี้ได้ว่า การเมืองไทยไม่ได้พัฒนาไปถึงไหน สุดท้ายก็เป็นเรื่องของการแบ่งปันผลประโยชน์ หากกลุ่มหรือพวกของตนไม่ได้อย่างที่ต้องการ ก็มักจะลงเอยด้วยการทะเลาะกันทุกครั้ง สุดท้ายที่สูญเสียมากที่สุดก็หนีไม่พ้น ประชาชน และประเทศชาติ
สำหรับมุมมองแนวทางการพัฒนาการเมืองไทยในปัจจุบันที่ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสลงไปสอบถาม ความคิดเห็นซึ่งก็มีหลากหลายทัศนะ
ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์
ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงการพัฒนาทางการเมืองไทยที่ผ่านมา มีการพัฒนาอยู่หลายมิติมาก คือ เรื่องนโยบายของรัฐ อาทิ เรื่องการศึกษาเรียนฟรี 12ปี เรื่องการรักษาพยาบาล หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และอื่นๆ ขณะที่ในส่วนการเมืองภาคประชาชน ก็พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในการมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางแนวนโยบายในการบริหารประเทศ ปฏิเสธไม่ได้ช่วง4-5 ปีที่ผ่านมา ภาคประชาชนที่มีบทบาททางการเมืองมากที่สุดในขณะนี้ ก็คือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอีกกลุ่มคือ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพียงแต่เสียดายที่ภาพการเมืองที่ออกมากลับกลายเป็นความขัดแย้งของทั้ง2 กลุ่ม จนส่งผลกระทบทางลบต่อการพัฒนาของประเทศอย่างมาก ทั้งนี้ หากกลุ่มการเมืองที่มีอยู่ไม่ขัดแย้งและขยายบทบาทอย่างสร้างสรรค์ ก็จะทำให้ประเทศเติบโตและเจริญก้าวหน้าได้อีกมากทีเดียว
สำหรับแนวทางการพัฒนาการเมืองไทยจากนี้ไป ประชาชนคนไทย เรียนรู้และทราบแล้ว ความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดความรุนแรงนำมาซึ่งความสูญเสีย และคนไทยก็ส่งสัญญาณแล้วว่า ไม่สนับสนุนความรุนแรง ซึ่งจะทำให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้เกิดความตระหนักและ ปรับแผนใหม่ว่าต่อไปการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ จะต้องไม่ใช้ความรุนแรงให้เป็นไปตามหลักการระบอบประชาธิปไตย การเมืองไทยก็จะก้าวหน้า และเป็นการเมืองสร้างสรรค์ แต่ยอมรับกลุ่มการเมืองจำนวนไม่น้อยในขณะนี้ เป็นกลุ่มการเมืองที่มุ่งประโยชน์ส่วนตนสูง และก็พยายามใช้ความไม่รู้ของประชาชนมาเป็นเหยื่อ ปลุกระดมและนำประชาชนมาเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์การเมือง ของตน
ทั้งนี้การเมืองในอดีตตั้งแต่ เหตุการณ์ 14 ตุลา2516, 6ตุลา2519,พฤษภาทมิฬ 2535 เหตุเกิดจากออกมาต่อสู้ เรียกร้องประชาธิปไตยจากอำนาจเผด็จการที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนาน แต่ในระยะหลังตั้งแต่เหตุ 7ตุลา 2551 จนมาถึง 19พ.ค.2553นั้น เป็นเรื่องความขัดแย้งกลุ่มการเมืองบางกลุ่มต่อต้านนักการเมืองที่ทุจริต ทั้งนี้ขณะที่โดยส่วนตัวดร.สมบัติเห็นว่าในอนาคตการเมืองไทยก็น่าจะสามารถ ก้าวข้ามปัญหาต่างๆไปได้เหมือนอย่างประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศที่เคยประสบ มา ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ หรือมาเลเซีย ที่เคยมีปัญหาเรื่องเชื้อชาติ แต่เมื่อสังคมมีความเข้มแข็งก็จะสามารถก้าวผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนทางด้านนายตนัย หนูชู นายกองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ระบุปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น ทั้งในเหตุการณ์ 6ต.ค. 2519 หรือวิกฤติการเมืองสีเสื้อในปัจจุบัน ในมุมมองตนแล้วเห็นว่า เกิดจากการขาดความยุติธรรม จึงจำเป็นต้องออกมาเรียกร้องและแสวงหา รวมทั้งรูปแบบการนำเสนอข้อมูลออกไปของสื่อมวลชนในปัจจุบันที่ซับซ้อน บางแห่งแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจนว่าอยู่ฝั่งใด ทำให้ยากแก่การควบคุม หากแก้ไขได้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆถึงไม่หมดไปแต่ก็น่าจะลดลง ทั้งนี้ความแตกแยกในช่วงหลัง เห็นว่าเป็นเพราะความคิดเห็นทางการเมืองไม่ลงรอยกัน ซึ่งช่วงหลังต้องยอมรับว่าคนไทยเปลี่ยนไปไม่ยอมกันเหมือนเมื่อก่อน ต่างฝ่ายจ้องแต่รักษาผลประโยชน์ตนเท่านั้น
ขณะทางด้าน น.ส.สุญญาตา เมี๊ยนละม้าย นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเป็นโฆษกสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) เห็นว่าแนวทางการพัฒนาการเมืองไทย คือต้องขยายฐานความคิดความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยที่ถูกต้อง รัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งจะต้องอยู่ครบวาระ ไม่ควรเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งนี้หากพบว่านักการเมืองรายใดที่อยู่ในอำนาจและมีความผิด ก็ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายน่าจะดีกว่า
คงถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยทุกคนจะต้องลุกขึ้นมาแสดงพลัง ร่วมกันผลักดันพัฒนาการเมืองไทยไปข้างหน้าในทิศทางที่ต้องการ อย่างสร้างสรรค์และสามัคคี หยุดแบ่งสีแยกประชาชน และจะต้องไม่ปล่อยให้นักการเมืองพาเดินไปผิดทางเหมือนอย่างที่ผ่านมา.
未经允许不得转载:综合资讯 » 6ตค.2519-19พค.2553 …..