“ตั้งใจจะต้องลงพื้นที่ให้มากที่สุด เพราะเข้าใจว่า พรรคภูมิใจไทย ถ้าจะแพ้ หรือเสียเปรียบ 2 พรรคการเมืองใหญ่ในขณะนี้ก็คือเรื่องของต้นทุนเวลา เพราะพรรคเราต้องยอมรับว่า เวลาการเปิดตัวพรรคให้เป็นที่รู้จักให้กับคนกทม.ในเขตหลักสี่ น้อยกว่าพรรคใหญ่อื่น แต่ถ้าพูดถึงต้นทุนการทำงาน เราเชื่อว่า ในพื้นที่นี้เราชนะผู้แข่งขันทุกคน เพราะส่วนตัวได้ทำงานในพื้นที่มาโดยตลอด เพราะไม่เคยทิ้งพื้นที่ เหตุผลมีเพียงแค่นี้ ที่ประชาชนในพื้นที่จะตัดสินใจเลือก”…
ผู้สมัคร ส.ส.หญิงแบบแบ่งเขต หนึ่งเดียว ของพรรคภูมิใจไทยในสนามการเลือกตั้งพื้นที่ กทม. ครั้งนี้ ที่ถือว่าเป็นความหวังและต้องยอมรับว่าสามารถลุ้นได้ จะได้ปักธงเป็น ส.ส.เขตครั้งแรกในเขตเมืองหลวงของพรรคหรือไม่? น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี ผู้สมัคร ส.ส.เขตหลักสี่ ซึ่งนับได้ว่าเป็น หญิงเหล็กทำงานอยู่กับพื้นที่มานาน ครั้งนี้ต้องเจอศึกหนักขับเคี่ยวกับผู้ชายอกสามศอก จาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ อย่างพรรคเพื่อไทย นายสุรชาติ เทียนทอง ลูกชายของนายเสนาะ เทียนทอง และเจ้าของแชมป์เก่าอย่าง พรรคประชาธิปัตย์ นายสกลธี ภัททิยกุล ลูกชายของ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล อดีตเลขาธิการ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)
น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต พรรคภูมิใจไทย กล่าวเปิดใจกับทีมข่าว “ไทยรัฐออนไลน์” มั่นใจเสียงตอบรับของพี่น้องประชาชนในพื้นที่เขตหลักสี่ครั้งนี้ของตนเองพอสมควร หลังจากที่ได้เดินหาเสียงมาระยะหนึ่ง ซึ่งได้เสียงตอบรับจากประชาชนดี สังเกตได้จากที่เป็นผู้สมัคร ส.ส.เขตคนเดียวในกทม.ที่ไม่ใช่ผู้สมัครของ 2 พรรคใหญ่ แล้วป้ายหาเสียงหาย หรือ โดนทำลายมากที่สุดคนหนึ่งในพื้นที่ จนต้องส่งคนไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่นับได้จำนวน 100 ป้าย ซึ่งหากคิดในมุมกลับกัน การที่ป้ายโดนทำลาย หรือ ป้ายหาเสียงสูญหายมากที่สุด ก็แสดงว่าคู่แข่งอาจเห็นว่า เป็นตัวเต็งที่มีคะแนนนำอยู่และมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง จึงต้องดำเนินการดังกล่าว
ส่วนเรื่องหัวคะแนนพรรคภูมิใจไทยถูกตำรวจจับ น.ส.ศุภมาส ยืนยันเป็นการปล่อยข่าวของพรรคการเมืองคู่แข่งที่ต้องการทำให้ตนเองเสียชื่อเสียงเท่านั้น ความจริงไม่มีการถูกจับในกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ตั้งข้อสังเกตว่า ปกติข่าวปล่อยมีอยู่แล้วในพื้นที่เวลาหาเสียง อาทิ ลือว่าลูกน้องโดนจับ หรืออาจเป็นตัวเองโดนบ้าง แต่ครั้งนี้ถึงกับไปปล่อยข่าวกับสื่อมวลชน ว่า ตนเองถูกจับเพราะมีการทุจริตด้วยซ้ำไป จนมีสื่อมวลชนหลายแขนงโทร.มาสอบถามเป็นจำนวนมาก ก็ยอมรับว่า งง เพราะตอนที่ข่าวนี้ออกไปตนกำลังลงพื้นที่เดินหาเสียงอยู่
การเลือกตั้งครั้งนี้ น.ส.ศุภมาส ยอมรับว่าแข่งขันกันรุนแรงมาก ตลอดกว่า 10 ปี ที่ได้ลงพื้นที่เดินหาเสียงมา สังเกตง่ายๆ ในพื้นที่ กทม. ถ้าพรรคการเมืองไหนส่งคนระดับแกนนำลงมาหาเสียงช่วยผู้สมัครในพื้นที่เป็นจำนวนมากและค่อนข้างถี่ พรรคนั้นแสดงว่ามีอาการน่าเป็นห่วง ถ้าเขตไหนเสียงดี ส่วนใหญ่ก็จะปล่อยให้ผู้สมัครในพื้นที่ว่ากันไป ยอมรับว่าก็ดีใจที่จากการสำรวจในพื้นที่ยังมีเสียงตอบรับที่ดีอยู่ ทั้งที่ผ่านมาสื่อมวลชนเองก็ให้พื้นที่ข่าวน้อย อาจเพราะตนอยู่พรรคเล็ก ซึ่งพรรคที่สังกัดเองก็ไม่มีกระแสช่วย ใน กทม.ด้วย
“สำหรับตัวเอง ตั้งใจจะต้องลงพื้นที่ให้มากที่สุด เพราะเข้าใจว่า พรรคภูมิใจไทย ถ้าจะแพ้ หรือเสียเปรียบ 2 พรรคการเมืองใหญ่ในขณะนี้ ก็คือเรื่องของต้นทุนเวลา เพราะพรรคเราต้องยอมรับว่า เวลาการเปิดตัวพรรคให้เป็นที่รู้จักให้กับคน กทม. ในเขตหลักสี่น้อยกว่าพรรคใหญ่อื่น แต่ถ้าพูดถึงต้นทุนการทำงาน เราเชื่อว่า ในพื้นที่นี้เราชนะผู้แข่งขันทุกคน เพราะส่วนตัวได้ทำงานในพื้นที่มาโดยตลอด เพราะไม่เคยทิ้งพื้นที่ เหตุผลมีเพียงแค่นี้ที่ประชาชนในพื้นที่จะเลือก เพราะเค้าคงไม่มองไปถึงประเทศชาติจะเป็นอย่างไร เพราะ ส.ส.เขตคงไปไม่ถึง คนในพื้นที่ก็มองเพียงว่าบ้านน้ำท่วม น้ำไหล-ไฟสว่าง เรื่องความสะอาดเป็นอย่างไร มีโรคระบาดหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่คนในพื้นที่มองมากกว่า มากกว่ามองว่าเลือกแล้วจะต้องมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศอย่างไร ใครๆ ก็โฆษณาได้ แต่จะทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง ” น.ส.ศุภมาส กล่าว
น.ส.ศุภมาส กล่าวถึง แนวนโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่พร้อมเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับทั้งพรรคประชาธิปัตย์ -เพื่อไทย ว่า เป็นนโยบายของพรรค ขณะที่พรรคเพื่อไทย ประกาศว่าไม่ขอเอาพรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมรัฐบาล เห็นเป็นเพียงเรื่องยุทธศาสตร์การแข่งขันในการเลือกตั้งเท่านั้น หลังการเลือกตั้งเชื่อว่าทุกอย่างก็เปลี่ยนได้หมด อย่าลืมว่า คู่แข่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คู่แข่งคือ พท.-ภท. ไม่ใช่ พท.-ปชป. ดังนั้น ถ้าพรรค พท.-ภท. ประกาศร่วมรัฐบากันได้ ก็กลัวว่าประชาชนก็จะเลือกภท.หมด ก็ไม่ได้ ทั้งหมดจึงเป็นยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย
ส่วนคำถามที่ว่า อะไรคือสิ่งที่คิดว่า ประชาชนต้องเลือกนั้น น.ส.ศุภมาส ระบุว่า เพราะประชาชนเห็นว่าเป็นคนในพื้นที่ เลือกมาแล้วเจอตัวเป็นๆ แน่นอน ปัญหาหนึ่งที่ผู้สมัคร ส.ส.บางคนเจอบ่อยๆ คือ ประชาชนกลัวว่าเลือกไปแล้วจะหายไปหรือเปล่า ปัญหานี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเรา ก็เลยโยงไปได้ว่า เราเวลาหาเสียงจะใช้วิธีเดินหาเสียงตามบ้าน ไม่เคยขึ้นรถแห่ ผู้สมัครหลายๆคนขึ้นรถแห่เพราะอะไร เพราะบางคนเดินไม่ได้ เนื่องจากอาจโดนประชาชนต่อว่า ทำนอง “อ๋อ พอจะเลือกตั้งก็มา พอเลือกเสร็จก็หายไป 4ปี” นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เดินหาเสียงไม่ได้ แต่กับเราไม่มีปัญหา เพราะเราไม่เคยทิ้งพื้นที่ เราเป็นคนที่นี่ บ้านเราก็อยู่ที่นี่ และเราก็ทำงานมาตลอด 10 กว่าปี ไม่ว่าเราจะได้เป็นหรือไม่ได้ เป็นส.ส.ก็ตาม เหตุที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไมพรรคภูมิใจไทย จึงได้เลือกเราสมัคร ส.ส.ใน กทม. เพียงคนเดียวในครั้งนี้ เพราะมั่นใจ และเป็นความหวังของพรรคในการปักธงครั้งแรกใน กทม. ของพรรคภูมิใจไทย เพราะคัดแล้วจึงตัดสินใจส่งลงสมัคร
สุดท้ายหากได้รับเลือกตั้งเข้าไปจริง โครงการแรกที่ น.ส.ศุภมาส จะต้องผลักดันอย่างเต็มที่ ยังย้ำว่า เป็นโครงการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีชมพู ที่ผ่านศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรในพื้นที่ให้ได้
…ฝันจะเป็นจริงหรือไม่? วันที่ 3 ก.ค.ก็จะรู้คำตอบ
㏑㏑
未经允许不得转载:综合资讯 » หากแพ้เลือกตั้ง แพ้เรื่องสะสมต้นทุนเวลา แต่งานยันไม่เป็นรองใครในพื้นที่