“มีเบื้องหลัง มากกว่านั้นหรือไม่? เพราะหากมองย้อนกลับไปแท้จริงแล้ว ทั้งนายจองชัย เที่ยงธรรม และนายประภัตร โพธสุธน ซึ่งถือเป็นคนสนิทของนายบรรหารทั้งคู่มีกระแสข่าวทางลึกมานานแล้ว ว่า เกิดขัดแย้งกับนายบรรหาร ในเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ทางการเมือง ตำแหน่งทางการเมืองที่ผ่านมา จนทั้งคู่อยากจะแยกตัวออกมาเอง แต่ติดขัดที่นายบรรหารไม่ยินยอม”…
“ช้างล้มหรือล้มช้าง” ประโยคนี้ในทางการเมือง ถือเป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นได้ไม่ได้แปลกอะไร โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องต่อสู้กันในสนามเลือกตั้ง ชนิดที่เรียกว่าทุ่มแบบสุดตัว หลายพื้นที่แชมป์เก่าถูกโค่น บางที่ก็โค่นแชมป์เก่าลงการเลือกตั้งทุกครั้งก็เป็นเช่นนี้
ที่ฮือฮา! มีหลายพื้นที่ นอกจากที่คนตระกูล “ฉายแสง” และตระกูล”ตันเจริญ”จะต้องสูญพันธ์ุไปจากสนามการเมืองฉะเชิงเทราแล้ว “เฮียม้อ” สิ้นลายที่สมุทรสาคร หรือ อย่างพรรคกิจสังคมของสุวิทย์ คุณกิตติ ที่ไม่มี ส.ส.เลยแม้แต่คนเดียว “วัน” ลูกสุดที่รัก ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ต้องอกหักจากเขตบางบอนไม่ได้เป็น ส.ส. ฯลฯ
สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ยังเกิดขึ้น ที่เขต 5 สุพรรณบุรี ที่คนในประเทศทุกคนทราบกันดีว่า เป็นที่มั่นใหญ่ของ”พญามังกร”อย่างหลงจู๊ นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา
ซึ่งตามธรรมดาแล้วต้องเรียกว่า”นอนมาแบบไม่มีพระนำ” แต่แล้วเมืองสุพรรณบุรี ที่ตอนหลังถูกล้อให้กลายเป็น เมือง”บรรหารบุรี” ก็กลับถูกพรรคเพื่อไทย โดยนายสหรัฐ กุลศรี บุกเจาะไข่แดง นางมุกดา เที่ยงธรรม ผู้สมัครพรรคชาติไทยพัฒนา หลานสาว นายจองชัย เที่ยงธรรม จนสำเร็จได้เป็นส.ส.สมใจ ถือเป็นการพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก ของนายบรรหาร และตระกูลศิลปอาชา ที่ครองความยิ่งใหญ่ในพื้นที่มาอย่างยาวนาน
จากกระแสฟีเวอร์ที่หลายคนเปรียบเทียบว่าเหมือนถูกไต้ฝุ่น อันร้อนแรงของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนถึงขั้นที่ นายบรรหาร ต้องออกมารับสารภาพว่า “สู้กระแสพรรคเพื่อไทยไม่ได้ อายแทบมุดแผ่นดินหนี”
แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีเบื้องหลัง มากกว่านั้นหรือไม่? เพราะหากมองย้อนกลับไป แท้จริงแล้วทั้งนายจองชัย เที่ยงธรรม และ นายประภัตร โพธสุธน ซึ่งถือเป็นคนสนิทของนายบรรหารทั้งคู่ มีกระแสข่าวทางลึกมานานแล้ว ว่า เกิดขัดแย้งกับ นายบรรหาร ในเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ทางการเมือง ตำแหน่งทางการเมือง ที่ผ่านมา จนทั้งคู่อยากจะแยกตัวออกมา แต่ติดขัดที่นายบรรหารไม่ยินยอม ทำให้ฐานเสียงในพื้นที่ที่เคยหนาแน่นค่อยๆอ่อนลง บวกกับการเลือกตั้งครั้งนี้กระแสพรรคเพื่อไทยแรงเกินคาด จนนำมาซึ่งการถูกพรรคเพื่อไทย เจาะไข่แดงแบ่งเก้าอี้ ส.ส. ใน จ.สุพรรณบุรีได้ 1 ที่นั่ง ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
น่าคิดว่า ถ้ากลุ่มคนกันเองของพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่เกิดการแตกแยกภายในพรรค ยังคงเป็นไปอย่างที่ทหาร-ตำรวจ ชอบพูดกันว่ายังคงมีเลือดสีเดียวกัน และอยู่เกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นดังเช่นที่เคยเป็นมา เหมือนบทเพลงดัง ซึ่งเป็นที่รู้จักของลูกเล็กเด็กแดง รวมไปถึงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนมาอย่างยาวนาน ที่มีเนื้อร้องอันคุ้นหูว่า “มาด้วยกันไปด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย” ก็น่าคิดว่า พรรคชาติไทยพัฒนาอาจ จะยังสามารถต้านทาน กระแสฟีเวอร์ของพรรคคู่แข่งอย่างเพื่อไทยได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี ที่ถือว่าเป็นป้อมค่ายอันแข็งแกร่ง ของตระกูลศิลปอาชา มาทุกยุคทุกสมัย ไม่ต้องถูกตีแตกอย่างที่เห็น
แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเวลาคงไม่หวนกลับ ให้มาแก้ไขอะไรใหม่ได้ ก็ต้องยอมรับกันไปแม้จะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ยังดี เพราะพรรคอันดับ 1 ก็ยังต่อสายมาเชิญ พรรคชาติไทยพัฒนาร่วมรัฐบาล ‘ปู 1’ ถ้ามองโลกในแง่ดี ก็ถือเสียว่า ชาติไทยพัฒนา ก็ยังมีเพื่อนที่มีหัวอกเดียวกัน ที่ต้องพ่ายแพ้ต่อกระแสอันเชี่ยวกรากของ พรรคเพื่อไทย นั้่นก็คือ พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ของ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ผนึกกำลังกับ กลุ่ม 3 พี ที่ตอนนี้เหลือแค่ 2 พี
รายหลังนี้ โชคดีกว่าหน่อย ตรงที่มีข่าววงใน อ้างว่า นายห้างตราดูไบห่อโทรศัพท์มาหา นายสุวัจน์ ตั้งแต่ไก่โห่ ช่วงก่อนการเลือกตั้งเสียอีก เพื่อเชิญชวนและการันตีแต่เนิ่นๆว่าได้ร่วมรัฐบาลอย่างแน่นอน หากพรรคเพื่อไทยชนะศึกเลือกตั้ง ซึ่งนายสุวัจน์ ก็ตอบรับและรู้ตัวตั้งนานแล้วว่าได้ร่วมรัฐบาลแน่ 100%
ดังนั้นเมื่อมาถึงเวลานี้ ที่พรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ได้เสียงในสภาเกินครึ่ง พรรคเล็กอื่นๆ ก็ต้องยอมกลืนเลือด เพราะถูกคลื่นสึนามิทางการเมือง พัดถล่มแทบที่จะสูญพันธุ์จากสนามเลือกตั้ง เหลือรอดเข้าสภาไปได้น้อยมาก จึงเป็นไปได้ยากที่จะต่อรองผลประโยชน์อะไรจากพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอย่างที่เคยคิดวางแผนไว้ คงเหลือเป็นได้แค่ใบเฟิร์นประดับแจกันตามที่นายบรรหารเคยกล่าวเอาไว้เท่านั้น.
♂♂
未经允许不得转载:综合资讯 » มาด้วยกันไปด้วยกัน เลือดสุพรรณฯเอ๋ย!