เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะชื่นชอบสีไหน คงจำวรรคทองในวันที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศตัวลงสู้สนามการเมืองด้วยการเป็นผู้สมัคร ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อหมายเลข 1 ของพรรคเพื่อไทยที่ว่า…
“พรรคเพื่อไทยนั้น ไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข…” กันได้เป็นอย่างดี เพราะถือว่า เป็นประโยคเด็ดที่ผู้คนยังนำมากล่าวขวัญถึงอยู่เนืองๆ ใน Social Media ต่างๆ
ต่อมาเมื่อผลการเลือกตั้งออกมาจนเป็นที่มั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ประโยคเด็ดนี้ จึงกำลังรอการพิสูจน์จากรัฐบาลใหม่ภายใต้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยอย่างใจจดใจจ่อ
ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คำว่า “แก้แค้น” เป็นคำกริยา หมายความว่า “ทําตอบด้วยความแค้นหรือเพื่อให้หายแค้น” ส่วนคำว่า “แก้ไข” เป็นคำกริยาเช่นเดียวกัน มีความหมายว่า “ทําส่วนที่เสียให้คืนดีอย่างเดิม, ดัดแปลงให้ดีขึ้น…”
หากดูตามคำนิยามในพจนานุกรมจะเห็นได้ว่า คำสองคำนี้ มีความหมายที่ค่อนข้างจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่เมื่อถูกนำมาใช้ในการตัดสินใจดำเนินกิจกรรมทางการเมืองแล้ว หากผู้พูดไม่ระมัดระวัง อาจจะทำให้คำสองคำกลายเป็นคำๆ เดียวกันไปโดยไม่รู้ตัว
เหตุการณ์แรกภายหลังทราบผลการเลือกตั้งที่น่าจะเป็นตัวอย่างให้การ “แก้ไข” กับการ “แก้แค้น” เกือบจะแยกกันไม่ออกคือ การที่ตำรวจบุกยึดเครื่องส่งของสถานีวิทยุที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายและทราบกันดีว่าเป็นสถานีที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ในพรรคภูมิใจไทย ในขณะที่สถานีวิทยุ (ที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตเช่นเดียวกัน) ของกลุ่มคนเสื้อแดงยังคงสามารถออกอากาศได้ตามปกติ
หากจะมองในมุมของการ “แก้ไข” การปิดสถานีวิทยุดังกล่าว ถือเป็นการดำเนินการตามกฎหมายกับสถานีวิทยุที่ยังไม่ได้ใบอนุญาต เนื่องจากยังไม่มีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มาทำหน้าที่ออกใบอนุญาตตามกฎหมายพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ดังนั้น สถานีวิทยุทั้งหลาย ไม่ว่าจะเรียกตัวดองว่า วิทยุชุมชน หรือวิทยุท้องถิ่น ต่างล้วนไม่ถูกต้องตามกฎหมายทั้งสิ้น
แต่หากจะมองว่าเป็นการ “แก้แค้น” การปิดสถานีวิทยุของกลุ่มที่หมดอำนาจทางการเมือง แต่ยังปล่อยให้สถานีวิทยุของฝ่ายที่สนับสนุนกลุ่มที่กำลังก้าวเข้ามามีอำนาจทางการเมืองยังคงออกอากาศได้ตามปกติ ย่อมถือเป็นการดำเนินการในลักษณะเดียวกับยุคที่รัฐบาลที่กำลังจะหมดอำนาจลงไปเคยดำเนินการกับวิทยุของคนเสื้อแดง และปล่อยให้สถานีวิทยุที่สนับสนุนรัฐบาลสามารถดำเนินการได้โดยไม่มีใครไปกวนใจ
นอกจากนี้ หากรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำเข้ามาบริหารประเทศอย่างเต็มตัว แล้วมีการสั่งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง หรือผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่เคยได้รับแต่งตั้งในสมัยที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในแบบที่เรียกกันว่า “ล้างบาง” ก็อาจถูกมองว่าเป็นการแก้แค้นได้เช่นกัน แม้ว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะบอกว่า เป็นการแก้ไข เพราะเป็นการโยกย้ายเพื่อให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการที่เคยถูกโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรมในรัฐบาลก่อนก็ตาม
หรืออีกกรณีของการที่รัฐบาลใหม่จะเข้าไปรื้อโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐบาลก่อนดำเนินการอนุมัติไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่า การดำเนินการที่ผ่านมา ไม่โปร่งใส จึงต้องเข้ามาแก้ไข แต่ในอีกมุมหนุ่ง การเข้าไปรื้อโครงการในลักษณะนี้ อาจถูกมองว่าเป็นการแก้แค้นที่รัฐบาลก่อนไม่เปิดโอกาสให้พวกพ้องของกลุ่มอำนาจใหม่ได้เข้าร่วมดำเนินโครงการกับภาครัฐ และต้องยกเลิกสัญญาเพื่อให้พรรคพวกของตนเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์แทน
นี่ยังไม่ได้มองไปไกลถึงกรณีของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ขณะนี้เริ่มมีข้อเสนอจากกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยบางส่วนแล้วว่า น่าจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้ขจัดปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่ทำให้พรรคที่ก่อตั้งโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องถูกยุบครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งอาจจะไปไกลถึงการยกเลิกบทบัญญัติที่รับรองการกระทำใดๆ ของฝ่ายที่กระทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วยก็เป็นได้
การแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว จึงอาจถูกมองว่า เป็นการแก้ไขเพื่อเปิดช่องให้มีการแก้แค้น กลุ่มที่ทำรัฐประหารโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณให้พ้นจากอำนาจ
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถบริหารประเทศไปได้โดยให้ประชาชน “ทั้งประเทศ” สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า การดำเนินนโยบายใดของรัฐบาลใหม่ถือเป็นการ “แก้ไข” ไม่ได้เป็นการ “แก้แค้น” ตามที่ได้ประกาศเป็นสัญญาประชาคมไว้
เพราะเส้นแบ่งทางการเมืองระหว่างคำว่า “แก้แค้น” กับ “แก้ไข” มันช่างเปราะบางเสียจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หากมีฝ่ายที่มองว่าการดำเนินนโยบายของรัฐบาลเป็นการ “แก้แค้น” มากว่าการ “แก้ไข” แล้ว ก็อาจเป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่วังวนเดิมๆ ของการประท้วงคัดค้านรัฐบาล ที่ล้วนแต่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว…
⑩⑩
未经允许不得转载:综合资讯 » แก้แค้น VS แก้ไข : ความเหมือนในความต่าง?