ยังคงมีเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญตามมาไม่เลิก กับผลงานสุดยอดของบาร์เซโลนาที่ถล่มสอนบอลเอาชนะแมนฯยูแบบหมดทางสู้ 3-1 ผงาดเถลิงบัลลังก์แชมป์เจ้าสโมสรยุโรปฤดูกาลนี้ไปครองได้แบบไร้ข้อกังขา
นาทีนี้ต้องยกให้บาร์ซาคือทีมอันดับ 1 ของโลกอย่างแท้จริง เป็นทีมเทวดาที่เก่งกาจเหลือเชื่อ เหนือกว่าทีมมนุษย์มนาอื่นๆบนพื้นพิภพนี้
บาร์เซโลนาเอาชนะแมนฯยูอย่างขาวสะอาดปราศจากข้อกังขา ในเกมชิงดำถ้วย “บิ๊กเอียร์ส” ที่เวมบลีย์ ด้วยสไตล์การต่อบอลสั้นที่ดูเหมือนจะเล่นกันง่ายๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความสุดยอด หรือที่สำนวนฝรั่งเรียกว่า “Simply The Best”
นักเตะตัวรุกแต่ละคนของบาร์เซโลนา ทั้ง ชาบี, อิเนียสตา, เมสซี และบีญา ล้วนแล้วแต่มี
รูปร่างไม่ใหญ่โต บึกบึน แต่กลับชดเชยด้วยเทคนิคเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม และเล่นกันด้วยทีมเวิร์กชนิดที่มองตาก็รู้ใจ
การเคลื่อนที่ของนักเตะตอนที่ไม่มีบอลของบาร์ซาทำกันได้อย่างยอดเยี่ยม นักเตะต่างขยันวิ่งหาช่องต่อบอล ทำเอานักเตะแมนฯยู ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงราชาแชมป์พรีเมียร์ลีก 19 สมัย วิ่งกันสะเปะสะปะ กลายเป็นลิงชิงบอลไปเลย
ขณะที่แผงมิดฟิลด์น่าจะเป็นจุดอ่อนของแมนฯยูในเกมนี้ ปาร์ค จี ซอง มิดฟิลด์พลังโสม ที่คาดว่าจะถูกส่งลงมาประกบจับตายเมสซี กลับทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และเอาเมสซีไม่อยู่เลย
ส่วน ไมเคิล คาร์ริก ก็เชื่องช้าเกินไป เช่นเดียวกับ ไรอัน กิกส์ ที่ดูเหมือนจะไม่เหมาะกับเกมที่เล่นกันเร็วแบบนี้
การคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 3 สมัยหลังสุด บาร์เซโลนาเป็นฝ่ายเอาชนะทีมจากอังกฤษในนัดชิงได้ทั้ง 3 ครั้ง โดยเริ่มจากพิชิต “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ในนัดชิงปี 2006 ต่อด้วยผูกขาดเอาชนะ “ผีแดง” แมนฯยู ได้ถึง 2 ครั้ง ในนัดชิงปี 2009 และล่าสุดปี 2011
ควันหลงหลังจากบาร์เซโลนาผงาดคว้าแชมป์ยุโรปสมัย 4 ได้อย่างสวยหรู สื่อมวลชนทั่วโลกต่างออกมาแซ่ซ้องสรรเสริญกับฟอร์มสุดยอดของบาร์ซาในนัดนี้
“อาส” นสพ.กีฬายักษ์ใหญ่ของสเปน พาดหัวว่า “ซุปเปอร์บาร์ซา, ฟุตบอลสเปนยังคงอยู่ในระดับสุดยอดของโลก” ขณะที่พาดหัวข่าวของ “เอล ปาอิส” ระบุว่า “บาร์เซโลนาขึ้นสู่สวรรค์แล้ว” ส่วน มุนโด
เดปอร์ติโว อวยบาร์ซาว่า “ทีมที่ดีที่สุดในโลก”
“นิวยอร์ก ไทม์ส” สื่อดังเมืองมะกัน ระบุว่า ชัยชนะนัดนี้ทำให้บาร์เซโลนากลายเป็นหนึ่งในทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล
ด้าน “เดอะ การ์เดียน” ของอังกฤษ บอก เมสซี คือกองหน้าที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยุโรป นับตั้งแต่ นันโด ไฮเดกกูติ ตะบันแฮตทริกในเกมทีมชาติที่ฮังการีถล่มอังกฤษ 6-3 ที่เวมบลีย์ เมื่อปี 1953 นอกจากนี้ ยังระบุว่า “เป็นชัยชนะที่เต็มไปด้วยศิลปะ, ความอดทน, จินตนาการ และมันไม่ได้เป็นเพียงวิธีเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างยอดเยี่ยมสวยงามเท่านั้น”
นอกจากนั้น เกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกปีนี้ ยังมีสถิติที่น่าสนใจมาฝากกัน และเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าบาร์เซโลนานั้นยอดเยี่ยมเจ๋งเป้งสมกับเป็นยอดทีมเทวดาขนาดไหน
-บาร์เซโลนามีสถิติครองบอลทั้งสิ้นถึง 63 เปอร์-เซ็นต์ และมีบางช่วงทำได้สูงสุดถึง 70 เปอร์เซ็นต์ด้วย
-ตลอดเกมบาร์ซามีโอกาสยิงประตูทั้งสิ้น 19 ครั้ง เข้ากรอบ 12 ครั้ง ส่วนแมนฯยูทั้งเกมมีโอกาสยิงประตูแค่หนเดียว และเป็นประตูตีเสมอ 1-1 ของรูนีย์
-อันเดรส อิเนียสตา มิดฟิลด์บาร์ซา มีโอกาสส่องประตูทั้งสิ้น 5 ครั้ง ซึ่งมากกว่าโอกาสของแมนฯยูทั้งทีมอีก
-ตลอดทั้งเกม แมนฯยูไม่ได้ลูกเตะมุมเลยแม้แต่ครั้งเดียว
-บาร์ซามีการผ่านบอลรวมทั้งสิ้น 662 ครั้ง จากความพยายาม 772 ครั้ง ส่วนผีแดงจ่ายบอลรวม 301 ครั้ง จากความพยายาม 419 ครั้ง
-อิเนียสตา และบุสเกตส์ เป็นคู่ที่จ่ายบอลให้กันและกันมากสุด 45 ครั้ง ขณะที่ฝั่งแมนฯยู เป็นริโอ เฟอร์ดินานด์ จ่ายบอลคืนหลังให้ผู้รักษาประตู ฟาน เดอร์ ซาร์ มากสุด 17 ครั้ง
-นักเตะบาร์เซโลนาวิ่งเคลื่อนที่โดยไม่มีบอลตลอดเกม คิดเป็นระยะทางทั้งสิ้น 108.085 กิโลเมตร (หรือ 108,085 ม.) มากกว่านักเตะแมนฯยูที่วิ่งเคลื่อนที่กันเพียง 4 กิโลเมตรเท่านั้น.
หมวดแซม
[[
未经允许不得转载:综合资讯 » ยอดทีมเทวดา "บาร์ซา"