“ยิ่งลักษณ์”แห้วสนช.ไม่ให้เพิ่มพยาน 72 รายการ “พรเพชร”แบไต๋พิจารณาบางส่วน แต่“นรวิชญ์”หลงทางดันลงมติเลยชวด ด้านป.ป.ช.โวยมั่วขอยื่นหลักฐานเพิ่ม นัดแถลงเปิดสำนวน 9 ม.ค.
เมื่อเวลา 10.08 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาวาระเรื่องด่วน การถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา6 วรรคสอง รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี2557 ประกอบมาตรา64 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีไม่ยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ มอบอำนาจให้ทีมทนายความส่วนตัว นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ชี้แจงต่อที่ประชุมแทน ซึ่งในวันนี้(28พ.ย.) จะกำหนดวันแถลงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะผู้กล่าวหา และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา และจะมีการพิจารณาคำขอเพิ่มเติมพยานหลักฐานของผู้ถูกกล่าวหา เบื้องต้นนายนรวิชญ์แจ้งว่ามีทั้งหมด 72 รายการ
โดยนายพรเพชร ชี้แจงข้อโต้แย้งน.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าสนช.ไม่มีอำนาจถอดถอนนั้น เห็นว่าการบรรจุวาระถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี2557 และข้อบังคับการประชุมสนช.ปี2557 ส่วนการที่มีการอ้างว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เมื่อเทียบกับการถอดถอนนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาส.ว. นั้น เห็นว่าการถอดถอนนายนิคมและนายสมศักดิ์ เนื่องจากป.ป.ช.ส่งสำนวนมายังวุฒิสภาก่อนใช้รัฐธรรมนูญปัจจุบันและดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ2550 ที่ยกเลิกประกาศใช้ เมื่อมีรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ประธานสนช. ส่งสำนวนกลับไปให้ป.ป.ช.พิจารณาอีกครั้ง เพราะข้อกล่าวหายังอ้างรัฐธรรมนูญปี2550 ซึ่งป.ป.ช.ยืนยันข้อกล่าวหาเดิมรัฐธรรมนูญ2550
ขณะที่กรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ป.ป.ช.ชี้มูลตามรัฐธรรมนูญปี2550 และฐานะความผิดตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ดังนั้นการดำเนินการไม่มีเลือกปฏิบัติ แต่ยึดตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องในแต่ละเรื่องที่ส่งเข้ามา เรื่องของน.ส.ยิ่งลักษณ์จึงแตกต่างกับคำร้องถอดถอนนายนิคมและนายสมศักดิ์ ส่วนการที่มีการโต้แย้งว่าการตราข้อบังคับว่าด้วยการถอดถอนปราศจากอำนาจตามรัฐธรรมนูญนั้น ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี2557 สนช.มีอำนาจถอดถอนบุคคลตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป.ป.ช. ดังนั้นสนช.จำเป็นต้องตราข้อบังคับว่าด้วยการถอดถอน ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นชอบให้กำหนดวันแถลงเปิดคดี วันที่ 9 ม.ค.2558 เวลา 10.00 น.
จากนั้นที่ประชุมพิจารณาคำขอเพิ่มเติมพยานหลักฐานของผู้ถูกกล่าวหา โดยทีมทนายความส่วนตัว นำโดยนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง เข้าชี้แจงคำขอเพิ่มเติมพยานหลักฐาน ซึ่งนายนรวิชญ์แจ้งว่า หลักฐานที่ขอให้สนช.พิจารณาเพิ่มเติมมี 72 รายการ ที่เคยยื่นเรื่องต่อป.ป.ช.ไปแล้ว แต่ป.ป.ช.ไม่ได้นำมาพิจารณาให้ จึงต้องการให้สนช.พิจารณาเพิ่มเติม อยากขอให้ความเป็นธรรมกับอดีตนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าคุณธรรมในหัวใจของสนช.จะให้ความเป็นธรรมกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งหลักฐานเพิ่มเติมเป็นเรื่องของมติครม. รายงานของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) รวมถึงข้อสั่งการของอดีตนายกรัฐมนตรีให้ติดตามเรื่องโครงการจำนำข้าว เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่มีเวลาใดของน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ปล่อยปะละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการ
ขณะที่นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. กล่าวว่า การที่ทีมทนายความระบุว่า เอกสาร 72 รายการส่งให้ป.ป.ช.แต่ไม่รับพิจารณาขอยืนยันว่า เอกสารที่ส่งมาทั้งหมด ป.ป.ช.ไม่เคยปฏิเสธการพิจารณา เพราะเอกสารมีความสำคัญ ซึ่งเอกสารที่ทีมทนายความส่งมาให้ป.ป.ช.มีเพียงแค่ 28 รายการเท่านั้น ไม่ใช่ 72 รายการได้แก่ รายการที่ 1-25 เรื่องคำสั่งของสำนักนายกรัฐมนตรี รายการที่ 31- 40 เรื่องผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) และรายการที่ 72 เรื่อง เอกสารหลักเกณฑ์การคิดค่าเปลี่ยนแปลงสภาพข้าวหรือค่าเสื่อมราคาข้าวตามคำให้การของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรมว.พาณิชย์ ส่วนเอกสารอีก 44 รายการ ไม่เคยยื่นต่อป.ป.ช.เลย
นายนรวิชญ์ ชี้แจงกลับว่า เอกสาร 28 รายการที่ป.ป.ช.ระบุว่า มีการยื่นต่อป.ป.ช.แล้ว แต่ในความจริงกลับไม่มีการนำมาพิจารณาอยู่ในสำนวน ส่วนอีก 44 รายการได้แก่รายการที่ 26-30 รายการที่ 32-38 และรายการที่ 41-71 นั้น ยอมรับ ยังไม่ได้ยื่นเอกสาร เนื่องจากเอกสารบางส่วนรวมอยู่ในคำชี้แจงของอดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว และบางส่วนถูกป.ป.ช.ปฏิเสธการสอบปากคำพยานบุคคลเช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนายสมชาติ สร้อยทอง อดีตอธิบดีกรมการค้าภายใน ทำให้เอกสารเหล่านี้ไม่ถูกนำมาพิจารณา ดังนั้นทีมทนายต้องการให้สนช.นำหลักฐานเหล่านี้มาพิจารณาเพิ่มเติม ทำให้นายวิชาตอบโต้กลับว่า การตัดพยานบุคคลเช่น ร.ต.อ.เฉลิมทิ้งเนื่องจากเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องสอบปากคำ แต่ไม่ได้ปิดโอกาสให้ทีมทนายความยื่นเอกสารเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่เมื่อไม่มีการยื่นมา ป.ป.ช.ก็ไม่สามารถพิจารณาให้ได้
จากนั้นนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. ได้วินิจฉัยว่า ในส่วนพยานเอกสาร 28 รายการ ที่มีอยู่ในสำนวนป.ป.ช. แต่ป.ป.ช.ไม่ได้นำมาพิจารณาให้นั้น ถือเป็นเอกสารที่สนช.สามารถนำมาพิจารณาเพิ่มเติมให้ได้ ตามข้อบังคับการประชุมสนช.ที่ 155 ส่วนเอกสารอีก 44 รายการ ที่ไม่ได้อยู่ในสำนวนของป.ป.ช.นั้น ขอให้ที่ประชุมลงมติว่า จะอนุญาตให้สนช.นำหลักฐานทั้ง 44 รายการ มาพิจารณาเพิ่มเติมหรือไม่ อย่างไรก็ตามนายนรวิชญ์ขอให้นายพรเพชรนำเอกสาร 28 รายการ ที่นายพรเพชรวินิจฉัยอนุญาตให้แล้วว่า สนช.จะพิจารณาเพิ่มเติมให้ มาให้ที่ประชุมสนช.ลงมติว่า สนช.จะนำเอกสารดังกล่าวมาพิจารณาเพิ่มเติมให้
จากนั้นที่ประชุมจึงเริ่มลงมติว่า สนช.จะอนุญาตให้นำเอกสารเพิ่มเติมของทีมทนายความ ทั้ง 72 รายการมาพิจารณาหรือไม่ โดยแยกการลงมติเป็นกลุ่มๆไป ปรากฏว่า ในเอกสาร 28 รายการ ที่นายพรเพชรวินิจฉัยว่า สนช.พร้อมจะนำมาพิจารณาเพิ่มเติมให้ เนื่องจากอยู่ในสำนวนของป.ป.ช.อยู่แล้ว แต่ที่ประชุมกลับลงมติสวนคำวินิจฉัยของนายพรเพชร โดยไม่อนุญาตให้นำเอกสารทั้ง 28 รายการ มาพิจารณาด้วยคะแนน 165-15 เสียง งดออกเสียง 10 ส่วนเอกสารอีก 44 รายการ ที่ประชุมลงมติไม่อนุญาตให้นำมาพิจารณาเพิ่มเติมเช่นกัน โดยรายการที่ 26-30 เรื่องคำสั่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลรับจำนำข้าว และคำสั่งคณะอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการรับจำนำข้าว ที่ประชุมลงมติไม่อนุญาตด้วยคะแนน 112 ต่อ 63 ส่วนเอกสารรายการที่ 32- 39 และ รายการที่ 41-71 เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ รายงานการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการรับจำนำข้าว และหนังสือของกรมการค้าภายใน ที่ประชุมลงมติไม่อนุญาตด้วยคะแนน 148 ต่อ 31 เสียง ถือว่า ที่ประชุมไม่อนุญาตให้เพิ่มเอกสารทั้ง 72 รายการตามที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ร้องขอมา
จากนั้นนายพรเพชรแจ้งต่อที่ประชุมว่า หลังจากนี้หากสมาชิกสนช.ต้องการยื่นข้อซักถามต่อคู่กรณีให้มายื่นข้อซักถามได้ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. ถึงวันที่ 8 ม.ค.58 ก่อนที่จะสั่งปิดประชุมในเวลา12.40 น.
ぢぢ
未经允许不得转载:综合资讯 » NIA拒绝英拉增加的证人 罢免听证人员日期不变