นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล – นายสนธยา คุณปลื้ม – นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ
เมื่อนักการเมืองเทกระจาดไปพรรคภูมิใจไทยกันหมด ไม่เว้นพรรคเก่า – พรรคใหม่ แม้กระทั่งพรรคที่ยังไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด นี่คือการโยนหินถาม หรือเป็นกลยุทธ์ทางการเมือง ที่ใช้ปลุกปั่นกระแสการเปลี่ยนขั้วสลับข้าง สร้างความแตกตื่นให้รัฐบาล พรรคร่วม หรือฝ่ายค้านกันแน่ แล้วใครเป็นผู้จุดชนวน และใครคือผู้ที่ได้ผลประโยชน์ ???
จับตากลุ่มการเมืองใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ "8ส.+1ส.พิเศษ" กลุ่มที่จะมาเปลี่ยนประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อการเลือกตั้งครั้งหน้าเกิดขึ้น เสียงลือเสียงเล่าอ้างนี้ ปรากฏเป็นข่าวตามหน้าสื่อได้อย่างไร ท่ามกลางความมึนงงสงสัย เมื่อชื่อเสียงเรียงนามของ ส.ส. เหล่านั้น ล้วนติดโผสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ทั้งสิ้น
รายชื่อที่ปรากฏเป็นข่าว ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ ที่มีชื่อขึ้นต้นด้วย "ส.เสือ" อาทิ นายสุวิทย์ คุณกิตติ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสนธยา คุณปลื้ม นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นายสรอรรถ กลิ่นประทุม และนายสุรนันท์ เวชชาชีวะ ตบท้ายด้วย 1 ส.พิเศษ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะรวมตัวตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่? แล้วการเมืองวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร? เมื่อนักการเมืองเก่าเก๋าเกม จับมือผนึกกำลังกันขึ้นมาจริงๆ
หากต้องการไขข้อข้องใจ เสาะหาข้อเท็จจริง เพื่อสยบกระแสข่าวลือดังกล่าว เห็นทีต้องเริ่มกันที่คนปูดเปิดประเด็น "ประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ" ประธาน ส.ส.พรรคภูมิใจไทย
"ไทยรัฐออนไลน์" สอบถามข้อเท็จจริง ส.ส.ภูมิใจไทยท่านนี้เปิดเผยถึงที่มาที่ไปของข่าวว่า ได้พูดคุยกันระหว่างร่วมรับประทานอาหารที่มีผู้สื่อข่าวรวมอยู่ด้วยถึงประเด็นการเมืองในอนาคต หากบ้านเลขที่ 111 กลับมาทำงานอีกครั้ง หลังครบกำหนดตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี โดยระบุว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทยอย่างแน่นอน เมื่อนักการเมือง 8ส. รวมตัวกับ 1ส.พิเศษ ที่มีนายสมคิดเป็นผู้นำ ซึ่งไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านี้ แต่ยืนยันว่า กำลังมีนักวิชาการและบุคคลทางการเมืองพูดคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่ โดยย้ำว่าเป็นการพูดคุยกันเท่านั้น ส่วนรายชื่อที่ปรากฏ ก็เป็นเพียงองค์ประกอบ เมื่อสมาชิก 111 กลับมาเล่นการเมืองอีกครั้ง
ส่วนกระแสข่าวที่ว่า 8ส.+1ส.พิเศษ จะจับมือรวมตัวกับพรรคภูมิใจไทยนั้น นายประจักษ์ ยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องจริง กลุ่มการเมืองใหม่กลุ่มนี้ ไม่ได้จับมือกับพรรคภูมิใจไทย แต่ยอมรับว่าได้พูดคุยกับทีมงานบ้าง และเห็นว่าเรื่องนี้ก็มีความเป็นได้ แต่เป็นเรื่องของอนาคต ไม่ใช่ในปัจจุบัน ที่ต้องเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ตอนนี้จึงเป็นแค่การพูดคุย และวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองเท่านั้น โดยเฉพาะกับนายสมศักดิ์ นายสรอรรถ และนายสนธยา ที่มีการพบปะกันตามปกติ และนี่คือคำยืนยันของประธาน ส.ส.พรรคภูมิใจไทย
แต่หากจะให้ได้ความกระจ่างกว่าเดิม ต้องฟังบุคคลที่มีชื่อขึ้นต้นด้วย ส.เสือ อย่าง "สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล" หนึ่งในผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เปิดใจกับเราว่า ถ้าคนหนุ่มสาวที่เป็นคนรุ่นใหม่ ต่างมีความคิดเห็นที่ตรงกัน อยากจะทำการเมืองใหม่ และมานั่งพูดคุยกันนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะตั้งเป็นพรรคการเมือง มองว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยยอมรับว่าที่ผ่านมามีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมาโดยตลอด
"การตั้งพรรคการเมือง ไม่ใช่ง่าย แต่เรื่องคุยมีมาตลอด เช่น ส.เสือคนนี้คุยกับ ส.เสือคนโน้น ส.เสือโน้นจึงไปนัดจับกลุ่มคุยกับ ส.เสือคนอื่นอีก มันเรื่องปกติ แต่ก็ไม่ได้ไปไกลถึงขนาดตั้งพรรคการเมืองใหม่ เพราะการตั้งพรรคการเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ"
เมื่อถามว่า ยังไม่ได้คิดตั้งพรรคการเมืองใหม่ เพราะวันนี้ยังไม่ถึงเวลาปลดล็อกทางการเมืองใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ ตอบว่า แต่ละคนมีสังกัดพรรคการเมืองอยู่แล้ว เวลามาคุยกัน ก็ต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ช่วงนี้มีเรื่องแผนปรองดองที่ผู้คนกำลังพูดถึงนั้น เราก็เห็นว่าทุกคนควรหันหน้าเข้าหากัน ใครจะเป็นตัวเชื่อมให้แต่ละฝ่ายมาคุยกัน เพื่อที่จะทำให้บ้านเมืองกลับไปสู่ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้ยอมรับว่า มักจะรับประทานอาหารร่วมกัน และพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันเป็นประจำ แต่ไม่ได้ไปพร้อมทั้งหมด 9 ส. เช่น ผมไปรับประทานอาหารร่วมกับนายสุวิทย์และนายสุวัจน์อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งก็ยังไม่มีโอกาสมารวมตัวกันทั้งหมด และเรายังไม่เคยคุยถึงเรื่องนี้กัน เพราะไม่รู้ใครจะเป็นผู้ประสานงาน
สำหรับความเป็นไปได้ที่จะรวมตัวเป็นกลุ่มเดียวกัน และอยู่ภายใต้สังกัดพรรคเดียวกันนั้น นายสมศักดิ์ มองว่า มันคงเป็นไปได้ยาก เพราะแต่ละคนมีวิธีคิดและอุดมการณ์ที่แตกต่างกันไป และการที่จะมาทำงานการเมือง คงไม่ใช่แค่คุยกันและรับประทานอาหารร่วมกัน มันมีอะไรลึกกว่านั้น !
อีก 1 ส.ที่ต้องจับตา "สนธยา คุณปลื้ม" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ถูกจำกัดสิทธิ์ทางการเมือง กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์ ในฐานะที่มีชื่อรวมอยู่ด้วยว่า เราไม่ได้มีการประชุมอะไรกัน โดยปกติก็พูดคุยกับบุคคลที่มีรายชื่ออยู่เป็นระยะๆ เช่น โทรศัพท์คุยกันบ้าง หรือรับประทานอาหารร่วมกันบ้าง แต่หากถามว่า จะรวมตัวกันตั้งพรรคหรือเป็นกลุ่มการเมืองใหม่นั้น ยังไม่เคยพูดคุยกัน ที่คุยกันมีเฉพาะเรื่องสถานการณ์การเมืองมากกว่า และยืนยันว่าไม่เคยไปรวมตัวคุยพร้อมกันถึง 7-8 คน โดยย้ำว่าเรื่องรวมตัวกันตั้งพรรคขณะนี้ยังไม่มี
นายสนธยา ให้ความเห็นว่า ข่าวที่ออกมานั้น อาจจะเป็นแนวความคิดหรือเป็นแค่การโยนหินถามทางมากกว่า แต่ถ้ามีการรวมตัวเพื่อระดมความคิด ในการทำงานเพื่อบ้านเมือง ก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะผู้ที่มีรายชื่อส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ ทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง
ต่อคำถามที่ว่า หลังจากพ้นกำหนดถูกตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี แล้วจะกลับมาเล่นการเมืองอีกหรือไม่ นายสนธยา ตอบว่า หลังจากถูกจำกัดสิทธิ์ทางการเมือง ตอนนี้เหลือระยะเวลาอีกประมาณ 1 ปี 8 เดือน เมื่อครบกำหนด ผมจะกลับมาเล่นการเมืองอีกแน่นอน เพราะทุกวันนี้ยังทำงานการเมืองบ้าง โดยเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองอยู่ ส่วนวันข้างหน้าจะไปอยู่ที่ไหน พรรคการเมืองไหน วันนี้คงยังตอบไม่ได้
นอกจากนี้ อดีตรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงอดีตนักการเมืองหญิงผู้ยิ่งใหญ่ "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" บุคคลตามข่าวที่เป็น 1 ส.พิเศษ ว่า ผมได้เจอกับคุณหญิงสุดารัตน์ตามงานต่างๆ มากกว่า แต่หากการพูดคุยทางการเมือง ก็มีเพียงแต่คุณหญิงสุดารัตน์เท่านั้น ที่ไม่ได้พูดคุยกัน สำหรับกับนายสมคิด นายสุวิทย์ และนายสรอรรถ ก็คุยกันอยู่
ทั้งหมดสอดคล้องกับคำตอบของคุณหญิงสุดารัตน์ ที่ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าวตั้งแต่แรกว่า ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่ยอมรับเคยเจอบางคนบ้างในงานวันเกิดผู้ใหญ่ แต่ไม่ได้พูดคุยกัน
งานนี้ชัดเจนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน ส่วนใครจะรับผลประโยชน์นั้น เป็นเรื่องของการเมืองในวันข้างหน้า ยังไม่มีใครตอบได้ แต่สุดท้ายหากผลประโยชน์ตกที่ประชาชนได้ เห็นที…จะดีที่สุด !!!
未经允许不得转载:综合资讯 » "1ปี8เดือน" กับ "8ส.+…..