ในที่สุดมหากาพย์ คดีการใช้เงินกองทุน จำนวน 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ ของพรรคปชป. ก็เดินทางมาถึงจุดไคลแม็กซ์ โดยในวันนี้(29พ.ย.) นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ‘ค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม’ จะขึ้นแถลงปิดคดีด้วยวาจาที่ศาลรัฐธรรมนูญ ในเวลาประมาณ 09.00น…
หลังจากนั้นก็คงต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจ ของคณะตุลาการที่เหลือทั้ง 6 คน ภายหลังจากนายจรูญ อินทจาร 1 ในตุลาการรัฐธรรมนูญ ตัดสินใจถอนตัวด้วยเหตุผล เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ในข้อหาหมิ่นประมาทคดีคลิปศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ คำวินิจฉัยที่ออกมาจะเป็นเช่นไร จะมีคำตัดสินออกมาในทันที หรือจะต้องนัดฟังคำตัดสินใหม่อีกครั้ง แต่อย่างไรก็เชื่อว่าจะทราบผลก่อนสิ้นปี 2553 นี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเดินเกมการเมืองของพรรคปชป.ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคปชป.ออกมาจุดพลุ สนับสนุนจนมีการผ่านร่างแก้ไขรธน. ใน 2 ประเด็น คือ เปลี่ยนระบบเลือกตั้งเป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว และแก้รธน.มาตรา 190 กรณีทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศต้องผ่านรัฐสภา โดยไม่ต้องทำประชาพิจารณ์นั้น ย่อมขัดกับความต้องการของผู้ใหญ่ในพรรค ทั้งนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ที่ไม่อยากให้มีการแก้รธน. จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ถูกตีความว่า ทำเพื่อต้องการที่จะซื้อใจพรรคร่วมฯ ให้จับมือเป็นรัฐบาลต่อให้ยาวนานมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นการปิดกั้นหนทางพรรคเพื่อไทยที่จะเจรจากับพรรคร่วมฯ ให้เปลี่ยนขั้วหันมาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วพรรคปชป.จะถูกศาลรธน.ตัดสินให้ต้องยุบพรรคหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ก็หวังว่าปชป.จะมีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาลต่อ จึงมีการเตรียมความพร้อมในทุกด้านก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2554 นี้
ส่วนที่มีคลิปตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องทั้ง กรณีการวิ่งเต้นคดียุบพรรคปชป. และกรณีโกงข้อสอบข้าราชการตุลาการศาลรธน. ส่งผลทำให้ลดความน่าเชื่อถือของสังคม ต่อคำตัดสินในคดียุบพรรคปชป.ที่จะออกมาไม่มากก็น้อย ถึงแม้ 3 ตุลาการศาลรธน. จะฟ้องนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการของประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ข้อหาหมิ่นประมาทแล้วก็ตาม
ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคปชป. กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ว่า แนวทางการตัดสินของศาลรธน. มีด้วยกัน 2แนวทาง ทางแรก อาจนัดมีคำวินิจฉัยในเวลา 15.00น. ทันที เหมือนที่เคยตัดสิน ยุบ 3 พรรคการเมือง หรือ อาจสั่งให้เลื่อนฟังคำตัดสินไป 15-30วัน ทั้งหมดอยู่ที่ดุลพินิจของศาล
ขณะที่ ส่วนตัวตั้งความหวังพรรค ปชป. จะหลุดรอดจากคดียุบพรรค การใช้เงินกองทุนจำนวน 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ไปได้ เนื่องจาก อ้างว่าเป็นการกระทำความผิดที่มาจากกฎหมายคนละฉบับ ในส่วนของพรรค ปชป.มาจาก พ.ร.บ.พรรคการเมือง ซึ่งไม่เหมือนกับพ.ร.บ.การเลือกตั้ง ที่ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ซึ่งเมื่อศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง ก็จะถูกยุบทั้งพรรค และคณะกรรมการบริหารทั้งหมดก็จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง5 ปี ทันที แต่ ในกรณีของปชป. มีข้อเท็จจริงว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรคปชป. มีหน้าที่ดูแลการปราศรัยหาเสียงให้พรรค ไม่มีความเกี่ยวข้องในส่วนงานเลือกตั้งที่เป็นหน้าที่ของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ หากศาลตัดสินมีความผิดจริงก็น่าจะเป็นเฉพาะตัวกรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้องในเวลานั้นเท่านั้น นายกรัฐมนตรีไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ขณะที่นายวิรัตน์ ย้ำยังไม่มีการจดทะเบียนพรรคใหม่เตรียมไว้หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคปชป. ซึ่งถ้าจะมีการจดทะเบียนพรรคใหม่ในขณะนี้ก็คงไม่ทันการณ์แล้ว ยอมรับว่าพรรคปชป.น่าจะมีการหารือกับพรรคการเมืองอื่น ที่ได้มีการจดทะเบียนอยู่แล้วก่อนหน้านี้ กว่า 50 พรรคการเมือง เชื่อว่ามีหลายพรรคพร้อมที่จะมาร่วมงานหรือมีอุดมการณ์ไปในแนวทางเดียวกันให้ใช้ชื่อพรรคได้ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการหารือกัน ส่วนการที่จะมีส.ส. บางส่วนไปจับขั้วทางการเมืองใหม่นั้นยอมรับก็คงมีบ้างแต่เชื่อว่าจะเป็นส่วนน้อย เพราะหากแนวทางและอุดมการณ์การเมืองไม่ตรงกัน คงไปกันได้ยาก
ด้าน นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์ ในความเห็นแล้วถ้า ปชป. จะอ้างในส่วนว่ามาจากกฎหมายคนละฉบับ ก็ต้องตรวจสอบว่า บุคคลที่เป็นกรรมการบริหารพรรคปชป.ในช่วงปี 2547-2548 นั้น มีใครบ้าง เพราะหากเปรียบพรรคการเมืองเหมือนบริษัทนิติบุคคล การที่บริษัทจะทำงานได้ก็ต้องมีคนขับเคลื่อน ไม่ใช่ว่าสามารถดำเนินการได้เอง ส่วนการที่พรรคปชป.ยกข้อต่อสู้คดียุบพรรคโดยอ้างว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นเป็นรองหัวหน้าพรรค มีชื่อเป็นกรรมการบริหารฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินกองทุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท อาจจะฟังไม่ได้ เพราะมีหลักฐานปรากฏชัดเป็นลายเซ็นของนายอภิสิทธิ์ ในการรับรองงบดุลของพรรค การที่จะระบุว่าไม่รู้เรื่องคงจะไม่ได้ อย่างไรก็ดีทั้งหมดคงขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้วินิจฉัย
สำหรับคดีการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาเพื่อพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ เป็นการฟ้องร้องต่อกรรมการบริหารพรรคปชป.ชุดปี 2548 ที่มี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นรองหัวหน้าและได้เซ็นรับรองบัญชีการใช้จ่ายเงิน หลังจากที่มารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคต่อจากนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ที่ได้แสดงสปิริตลาออก หลังจากที่ทางพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ให้กับพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2548
หากย้อนรอยคดีประวัติศาสตร์นี้ เริ่มต้นจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้สอบสวนพร้อมส่งสำนวนให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 หรือไม่ นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ส่งหลักฐานเพิ่มเติมให้ กกต. หลังเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งเรื่องรับเงินบริจาคจำนวน 258 ล้านบาทโดยมิชอบ จากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่าน บริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ไปใช้จ่ายในการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 6 ก.พ. 2548 ส่วนอีกเรื่องเป็นกรณีการกล่าวหาว่ามีการใช้เงินที่ กกต.สนับสนุนให้อย่างผิดวัตถุประสงค์และไม่มีการชี้แจงที่ถูกต้อง
ทั้ง 2 เรื่องถูกส่งไปยัง กกต. ซึ่งมีมติให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ชี้ขาด โดยขณะนั้นนายอภิชาตเองออกมาขอเวลาตรวจสอบสำนวนคดี โดยให้เหตุผลว่ามีเนื้อหาเป็นจำนวนมากต้องดูอย่างละเอียด จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 เม.ย. กลุ่มคนเสื้อแดง (นปช.) เคลื่อนขบวนไปทวงถามความคืบหน้าที่สำนักงาน กกต. จนสุดท้ายเย็นวันที่ 12 เม.ย. กกต.ได้พิจารณากรณีพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ใช้จ่ายเงินที่ได้รับจากเงินกองทุนสนับสนุน พรรคการเมืองจาก กกต.ให้เป็นไปตามบทบัญญัติตามกฎหมาย และการจัดทำการใช้จ่ายและการจัดทำรายงานใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองไม่ ถูกต้องตามความเป็นจริงยื่นต่อ กกต. อันเป็นการเข้าข่ายมาตรา 62 และ 65 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ.2541 และมาตรา 82 และ 93 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ซึ่ง กกต.มีมติเอกฉันท์ 5 ต่อ 0 ให้ยุบพรรค ปชป. และให้แจ้งต่อ อัยการสูงสุด เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคคดีเงินกองทุน 29 ล้านบาท
นี่คือจุดสิ้นสุดพรรคการเมืองที่มีความเก่าแก่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ หรือ เป็นแค่บทพิสูจน์การต่อสู้ทางการเมือง เป็นฉากๆ หนึ่งของระบบการเมืองไทย ที่คอการเมือง คงเฝ้ารอที่จะได้ทราบผลด้วยความระทึกใจเป็นอย่างยิ่ง…
未经允许不得转载:综合资讯 » ‘ปชป.’จะอยู่….หรือไป!