ถ้าเปรียบวันสำคัญที่อยู่ในเดือน ก.พ.ระหว่างวันที่ 14 ก.พ.หรือ"วาไลน์ไทน์"ของชนชาติตะวันตก กับวันที่ 18 ก.พ.หรือ"วันมาฆบูชา"สุดสำคัญของชนชาติไทยเป็นกราฟแผนภูมิสูงต่ำตีคู่ขนาบกัน
ต้องยอมรับว่า หลายปีที่ผ่านมาความนิยมของวันวาเลนไทน์มักจะนำโด่งวันมาฆบูชาเสมอๆ (ดูราคา “ดอกบัว” วันมาฆบูชากำละไม่กี่บาท กับ “ดอกกุหลาบ” ในวันวาเลนไทน์ราคาดอกละเป็นพัน)
และก็เชื่อว่า ผู้ที่รับผิดชอบ เช่น กรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม กระทั่งทุกๆ รัฐบาลที่ผ่านมาก็เห็นสภาพดังความนิยมกันอยู่ดังที่ปรากฏ คำถามก็คือ การผูกปีพ่ายของวันสำคัญเช่นนี้ไม่มีผู้เกี่ยวข้องไหนจะทำอะไรให้สถานการณ์วันสำคัญของชนชาติไทยให้ชนะวัฒนธรรมตะวันตกได้เลยหรืออย่างไร
และวันมาฆบูชาในปีนี้ก็เวียนมาบรรจบอีกครั้ง นอกจากนี้"ไทยรัฐออนไลน์"พาไปรู้จักวันมาฆบูชา พาไปวิเคราะห์จุดอ่อนอีกครั้งแล้ว ยังรวมช่วยกันหาทางออกว่าทำอย่างไรคนรุ่นใหม่ (คนไทย) จะรักและเข้าใจวัฒนธรรมชาติไทยมากกว่า วันสำคัญของชนชาติตะวันตก…
วันมาฆบูชากัน (อีกครั้ง!)
ถือว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาวพุทธเถรวาท ปัจจัยหลักที่ได้รับการยกย่องให้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง “โอวาทปาฏิโมกข์” โดยในครั้งนั้นมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการด้วยกันคือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น“เอหิภิกขุอุปสัมปทา” หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3
จนมาสมัยร.4 ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลใน วันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรมีการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น โดยการประกอบพระราชพิธีคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือมีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ มีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น จนได้รับนิยมขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร
โดยทราบทั่วกันว่า วันนี้จะมีการทำบุญกันเพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว ที่ถือว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล
ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยวัยรุ่นสาวมักจะเสียตัวในวันวาเลนไทน์หลายหน่วยงานจึงพยายามรณรงค์ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก (อันบริสุทธิ์) แทนอีกด้วย
เมื่อดอกกุหลาบผู้ผูกปีชนะดอกบัว…!
วันมาฆบูชาถือว่า เป็นวันที่ความหมายดี แต่ทำไมคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ทุกๆ ผลโพลเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี
ล่าสุด เอแบคโพลเผยผลวิจัย (วันที่ 10-12 ก.พ.54) เรื่อง ความรู้ ความเข้าใจของเด็ก-เยาวชนไทยเกี่ยวกับวันมาฆบูชา และความตั้งใจที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ในวันมาฆบูชาการันตีได้เป็นอย่างดีผลการสำรวจ พบว่ามีเพียงร้อยละ 34.6 ทราบและระบุได้ถูกต้อง ว่าวันมาฆบูชาตรงกับวันที่ 18 ก.พ.ขณะที่เยาวชนร้อยละ 65.4 ไม่ทราบว่าเป็นวันไหน
เมื่อถามถึงการรับรู้ในหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในวันมาฆบูชานั้น พบว่ามีตัวอย่างเพียง ร้อยละ 37.3 เท่านั้นที่สามารถระบุได้อย่างถูกต้องว่าคือ “โอวาทปาฏิโมกข์” ในขณะที่ตัวอย่างประมาณ 2 ใน 3 คือร้อยละ 62.7 ไม่ทราบ/ระบุไม่ถูกต้อง
ขณะเดียวกันผลสำรวจยังระบุอีกว่า เด็กและเยาวชนไทยร้อยละ 43.2 ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์ มากกว่าวันมาฆบูชา ขณะที่ร้อยละ 6.4 ร้อยละ 27.3 ให้ความสำคัญเท่ากัน และร้อยละ 23.1 ไม่มีความเห็น
ถือว่าเป็นผลวิจัยที่เศร้าใจพุทธศาสนิกชนไทยเป็นอย่างมาก นายเทวินทร์ อินทรจำนงค์ รองผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ กล่าวพร้อมกับ สะท้อนความรู้สึกของผลสำรวจของโพลย้อนหลัง5-10 ปีที่ผ่านมาว่า ปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากกว่าวันมาฆบูชามากมายแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“สิ่งหนึ่งที่เรารับรู้ได้จากผลโพลหลายปีทีผ่านมามันสะท้อนชัดว่าคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเยาวชนให้ความสำคัญและรู้จักวาเลนไทน์มากกว่าวันมาฆบูชามากชนิดที่เทียบกันไม่ติด แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่เสพกระแสความนิยมจากต่างชาติ และสนใจเรื่องของปัจเจกบุคคล ในเรื่องของความรัก อารมณ์ และเน้นแต่การบริโภคนิยมในเชิงวัตถุนิยมมากกว่า ซึ่งมันเป็นอิทธิพลตะวันตกที่แพร่กระจายไปสู่คนรุ่นใหม่ได้เร็วมากๆ”
แน่นอนว่าผลโพลออกมาแบบนี้ซ้ำๆ เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะมันสะท้อนได้ว่าพื้นฐานความเป็นวัฒนธรรมไทยวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับสภาพสังคมของไทยได้ถูกกลืนไปทุกวันเวลา แน่นอนว่าเราก็ไม่ได้ปฏิเสธค่านิยมใหม่ๆ เพราะมันเป็นประโยชน์และสามารถเอามาพัฒนาการดำเนินชีวิตให้มีคุณภาพที่ดีได้ แต่ในขณะเดียวกันที่เราเป็นห่วงก็คือว่าความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่มันเป็นตัวหล่อเลี้ยงสังคมไทยให้อยู่ร่วมกันโดยปกติสุข มันเริ่มลดลงไปตามกระแสสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นความเอื้ออาทร การกตัญญูรู้คุณ การให้เกียรติ แม้แต่การเคารพซึ่งกันและกัน ก็จะต้องมีอยู่
สำหรับวิธีการแก้ไขการผูกปีพ่ายแพ้ รองผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ เสนอว่า หลักๆ มีอยู่ 2-3 เรื่อง ที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการรักษาวัฒนธรรมไทย 1.เรื่องของศาสนา ประเด็นแรกก็คือ ศาสนาไม่มีการพัฒนาไปกับโลกสมัยใหม่ ด้วยหลักธรรมคำสอนที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาทั้งในเชิงลึกและในเชิงกว้าง
“ในเชิงลึกก็หมายความว่า การศึกษาอย่างลึกซึ้งเข้าถึงและสามารถเชื่อมโยงไปกับศาสตร์ต่างๆ ซึ่งมันสามารถที่จะนำมาเปรียบเทียบกับแนวคิดสมัยใหม่ได้ ในเชิงกว้างก็หมายความว่าการพัฒนาหลักธรรมคำสอน ให้มันสอดคล้องกับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายซึ่งยังไม่สามารถทำได้เช่นกัน”
ต่อมาก็คือเรื่องบุคลากรและองค์กรทางพระพุทธศาสนาตั้งแต่กระทรวงศึกษาธิการนักพุทธศาสนาไปจนถึงวัดวาอารามต่างๆ ที่ยังไม่ได้ปรับตัวให้เท่าทันกับยุคสมัย ไม่มีการบริหารจัดการดูแลที่ดี
“รวมถึงวัดปล่อยทิ้งร้าง ถ้าเปรียบเทียบกับศาสนาคริสต์เขาจะมีการบริหารจัดการที่ดีมีประสิทธิภาพ มีคนรุ่นใหม่เข้ามาบริหาร รวมถึงสถานที่ที่มีความสะดวกสบาย ประการสุดท้ายคือ เรื่องของกิจกรรมที่ยังไม่สอดคล้องถ้าจะมาจัดกิจกรรมเฉพาะวันหรือเทศกาลสำคัญทางศาสนาอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอเพราะวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่เขาไม่ค่อยมีเวลาว่าง ซึ่งอาจจะต้องปรับให้มีการจัดกิจกรรมในวันหยุดมากขึ้นกว่าวันอาทิตย์ไปทำบุญกันเถอะ เป็นต้น” นายเทวินทร์กล่าว
วันมาฆบูชาจะชนะวาเลนไทน์ได้ ต้องอินเทรนด์
พระไพศาล วิสาโล พระนักเทศน์ชื่อดัง ที่ได้ยอมรับว่าเป็นกลางมากที่สุด กล่าวว่า ประเด็นที่หลายคนตั้งคำถามเรื่องศาสนาเชยเพราะไม่ปรับตัวให้เข้าและเท่าทันยุคสมัย ทำให้คนไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่ากับวันวาเลนไทน์ เรียกว่าผลสำรวจโพลเดือนกุมภาพันธ์เวียนมาบรรจบทีไรศาสนาเป็นพ่ายแพ้ความนิยมของวันวาเลนไทน์ทุกที เป็นการตั้งข้อสังเกตุที่ถูกต้องและตรงเป้ามากที่สุด
“จนวันนี้ศาสนาก็ยังไม่ปรับตัวให้สื่อสารกับคนรุ่นใหม่ และยิ่งที่ผ่านมาแทบจะไม่มีกิจกรรมวันมาฆบูชาที่ไหนที่สามารถดึงดูด
ให้คนรุ่นใหม่สนใจได้เลย ทำให้ไม่เพียงวันมาฆบูชา ศาสนาจึงกลายเป็นความเฉยชาของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะวันนี้เราอยู่
ในกระแสเชี่ยวกรากของยุคบริโภคนิยมแรงมาก ยิ่งแรงมากเท่าไหร่จะยิ่งกลบพระพุทธศาสนาไปเท่านั้น ที่สำคัญวันนี้ยังไม่มีใครสามารถนำเอาสาระสำคัญทางพระพุทธศาสนามาโยงเข้ากับชีวิตประจำวันของคนทั่วๆ ไปได้อย่างกลมกลืน นี่คือจุดอ่อนใหญ่ของศาสนาที่ยังไม่มีใครเข้ามาแก้ไขได้สำเร็จ”
พระนักเทศน์ เสนอแนวทางแก้ไขว่า ศาสนาจะต้องรีบปรับให้ตัวเองมีส่วนร่วมกับสมัยนิยมด้วย เช่น วันมาฆบูชาเด็กนักเรียนก็อาจจะชวนกันไปทำบุญ แต่การทำบุญนี้ไม่ได้หมายถึงต้องเข้าวัดทำบุญอย่างเดียว สามารถทำบุญด้วยการทำจิตอาสาก็ได้
“วันมาฆบูชา พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้ละชั่ว ทำดี ซึ่งก็หมายถึงการที่เราไปช่วยเหลือผู้อื่นก็ได้ โดยการเอาคำสอนมาทำให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วยการช่วยหลือสังคมหรือจัดกิจกรรมทำสมาธิภาวนาให้เด็กมีสมาธิมีความสงบในจิตใจซึ่งสามารถทำได้ทุกที่ ไม่จำเป็นต้องเข้าวัดอย่างเดียวเพราะมันจะไม่อินเทรนด์ แค่ทำดี ละชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธ์ อยู่ที่ไหนก็สามารถทำได้เหมือนกัน” พระไพศาลกล่าว
สุดท้ายการที่วัฒนธรรมตะวันตกมักจะเอาชนะวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทยนั้น ก็เพราะว่าไม่เพียงคนที่อยู่ในวงการศาสนาไม่ทันสมัย กระทรวงที่รับผิดชอบไม่ใส่ใจ และรัฐบาลไม่คิดนอกกรอบ เหมือนกับความเป็นไทยดีๆ หลายอย่างที่กำลังตายจากหัวคนรุ่นใหม่ไปนั่นเอง.
未经允许不得转载:综合资讯 » ‘ศาสนาน่าห่วง…’เมื่อคนรุ่นใหม่ให้ราคา’วันมาฆบูชา’ด้อยกว่า’วันวาเลนไทน์’..?