ต้องชมเชยการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การบริหารงานของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ในการทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้งผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ
จากสภาพความขัดแย้งรุนแรงของพี่น้องคนไทยที่แตกแยกแบ่งแยกเป็นสี ความอึมครึมของสถานการณ์บ้านเมือง แต่ด้วยการจัดวางระบบที่ลงตัว จนทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม
พรรคเพื่อไทยโดย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับคะแนนอย่างท่วมท้นเหนือพรรคประชาธิปัตย์ คู่แข่งของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่จะกลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี
แม้ พล.ต.อ.วิเชียร จะแสดงศักยภาพของผู้บริหารประคับประคองการเลือกตั้งอย่างสุดความสามารถ
แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเป็นพรรค การเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ผู้นำตำรวจที่ไม่มีเส้นทาง ไม่มีแรงหนุนแรงดันจากฝ่ายการเมือง ต้องอยู่ในชะตากรรมที่ไม่มีสิทธิเลือก ไม่มีปากมีเสียง
ทันทีที่จัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ทุกคนมองไปที่การย้ายล้างบางตำรวจเส้นสายฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะเก้าอี้ ผบ.ตร.ที่มีตัวเต็งคนสำคัญ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร. ที่เป็นพี่ภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
จากอดีต พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณมักถูกวางตัวนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. แต่ด้วยการเปลี่ยนหน้าใหม่การเมืองไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องพ้นจากตำแหน่ง มีการเปลี่ยนอำนาจการเมืองชนิดรุนแรง เส้นทางรับราชการของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ไม่ได้ราบรื่น
จึงไม่แปลกทันทีที่เปลี่ยนขั้วอำนาจพรรค
เพื่อไทยกลับมาทวงเก้าอี้ผู้นำประเทศ ทุกคนโฟกัสไปที่การผลักดัน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาทวงความชอบธรรมกับเก้าอี้ ผบ.ตร.
การกลับมาของพรรคเพื่อไทยเป็นการเขย่าเก้าอี้ พล.ต.อ.วิเชียร อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ไม่ได้มีความผิด และเป็นคนที่ทำผลงานดีมาตลอด แต่เป็นวงเวียนการเมืองไทย เมื่อเปลี่ยนขั้วต้องเปลี่ยนตัวผู้นำทุกเหล่าทัพ จัดแถวให้มาเข้าทาง เพื่อให้ได้มีอำนาจแทรกแซงข้าราชการทุกระดับชั้น และมีประโยชน์เหนือพรรคอื่น
โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจที่สัมผัสใกล้ชิดพี่น้องประชาชน มีกำลังกระจัด กระจายอยู่ทั่วประเทศ การวางตัวคนสนิทของฝ่ายการเมืองเข้ามาคุมเพื่อจะได้ชี้ซ้ายหันขวาหัน
ไม่เคยมีนักการเมืองคนไหนมองข้าราชการอย่างเป็นมิตร ทุกคนมองตำรวจให้ราคาแค่เครื่องไม้เครื่องมือเมื่อต้องการตำแหน่งไหนคนเก่าที่อยู่ก็ต้องกระเด็นกระดอนพ้นเก้าอี้ไป ไม่ได้คิดมองหาผลงาน หรือขวัญกำลังใจของตำรวจทุกระดับชั้น
การเข้ามาบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทย เป็น ที่จับตาของทุกฝ่าย โดยเฉพาะนโยบายสำคัญจนได้รับคะแนนเสียงท่วมท้นในเรื่อง “สมานฉันท์คนไทย”
จะเป็นได้จริงอย่างที่เขียนนโยบายไว้ หรือจะเป็นแค่ละครบทหนึ่งที่เขียนหาคะแนนนิยม
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ไม่ได้เสียหาย เพียบพร้อมทั้งคุณวุฒิ ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ทำงาน
ทั้งการสืบสวนคดีสำคัญ และการปราบปรามยาเสพติด จนได้ชื่อว่าเป็น “สุภาพบุรุษมือปราบ” เพราะชอบทำงาน “ปิดทองหลังพระ” อยู่เบื้องหลังคดีสำคัญ การกลับมานั่งเก้าอี้ผู้บริหารตำรวจไม่ใช่เรื่องแปลก
จากสายสัมพันธ์เครือญาติอดีตนายกฯ ทำ
ให้เส้นทางชีวิตราชการของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลครั้งใหญ่ ก็ตกเป็นเป้าหมายของนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเล่นงานหนัก
จนหลายคนไม่คิดว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะยอมทนอยู่ในเครื่องแบบสีกากี ทุกคนเห็นอกเห็นใจ
เช่นเดียวกับเส้นทางของ พล.ต.อ.วิเชียร ที่กว่าจะขยับนั่งเก้าอี้ “พิทักษ์ 1” ต้องกัดฟันทนต่อสู้อาศัยความอดทนอดกลั้น และก้มหน้าก้มตาทำงานเข้าแลกกับความเชื่อถือของฝ่ายการเมือง เพราะไม่มีเส้นสายฝ่ายประชาธิปัตย์ แต่อาศัยทุ่มเทเสียสละทำงาน เข้าถึงตำรวจ เข้าถึงทุกเหตุการณ์แบบถึงลูกถึงคน
ไม่แยกสีแยกฝ่าย ยึดกฎหมาย ทุกคนมีสิทธิ เสมอภาคภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน
เป็นแนวทางทำงานที่ พล.ต.อ.วิเชียร ยึดมั่นมาตลอดชีวิตราชการ คือ จุดเด่นที่เหนือกว่าคนอื่น
ความ ประนีประนอม อ่อนน้อมถ่อมตน จริงจัง เกาะติดพื้นที่และร่วมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริง จนได้รับการยอมรับจากพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ไม่มีสายสัมพันธ์กันมาก่อน
แต่ด้วยชั้นเชิงการบริหารจัดวางคนที่เหมาะสมกับงาน ไม่เลือกฝ่ายเลือกข้าง ใช้ความเป็นพี่น้องถ้อยทีถ้อยอาศัย จนทำให้ “คลื่นใต้น้ำ” และความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติลดลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
โดยเฉพาะความโดดเด่นในเรื่องการดูแลการชุมนุมที่อาศัยการคลุกวงในใกล้ชิดตำรวจที่อยู่กับการชุมนุมประท้วงจนทำให้ตำรวจมีขวัญกำลังใจ จนทำให้ได้รับการยอมรับ ไม่เกิดการต่อต้านทางความคิด หรือเป็น “เงื่อนไข” กดดันรัฐบาล
การเข้ามารับตำแหน่งของ พล.ต.อ.วิเชียรเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกับสถานการณ์ในประเทศ เป็นงานหนักและท้าทาย แต่จุดเด่นของผู้นำตำรวจที่ไม่มีสีไม่มีฝ่ายการเมือง ทำให้ประคับประคองบ้านเมืองไปได้
พล.ต.อ.วิเชียร ผลักดันนโยบายสำคัญมากมาย ทั้งเรื่องสิทธิประโยชน์ของตำรวจชั้นผู้น้อย แฟลตที่พักอาศัยตำรวจ และเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยมาใช้ในการสืบสวนสอบสวนบริการประชาชน
รวมทั้งบทบาทสำคัญในด้านกิจการตำรวจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะองค์กรตำรวจสากล
พล.ต.อ.วิเชียร มีบทบาทสำคัญในเวทีประชุมสมัชชาใหญ่องค์การตำรวจสากล ครั้งที่ 79 ที่กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ในเรื่องการสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม จนได้รับการยอมรับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานด้านอาชญากรรมเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่า ครั้งที่ 23 ปลายปี 2554
จากความร่วมมือที่ดีระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย จนได้รับการยอมรับจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซียให้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดในส่วนของตำรวจที่ทางการมาเลเซียอนุมัติมอบให้แก่ ผบ.ตร. และได้รับเกียรติอย่างสูงสุดจากทางการมาเลเซีย โดยสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งประเทศ
มาเลเซีย ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น Tan Sri ให้แก่ พล.ต.อ.วิเชียร เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซียในหลายๆด้าน ยังไม่รวมความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้านประเทศลาว
พล.ต.อ.วิเชียรไม่ได้มองข้ามการประสานความร่วมมือของตำรวจประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงพัฒนาขีดความสามารถของตำรวจทั้งในระดับองค์กรและบุคลากร
เป็นผลงานที่เป็นเนื้อเป็นหนังของ พล.ต.อ.วิเชียร แม้จะเข้ามาสภาพที่หัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีการเมืองสนับสนุนค้ำจุนเก้าอี้ แต่หากมองอย่างเป็นธรรม พล.ต.อ.วิเชียร ได้แสดงศักยภาพของความเป็นผู้นำตำรวจได้ไกลกว่าอดีตที่ผ่านมาทั้งที่อยู่ในสภาพจำกัดทุกด้าน
หากฝ่ายการเมืองจำเป็นต้องใช้ตำแหน่ง ผบ.ตร.เพื่อประโยชน์ของฝ่ายการเมือง ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จะต้องจัดหาตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อตอบแทน พล.ต.อ.วิเชียร เพราะไม่ได้ทำอะไรเสียหาย แต่ที่ต้องไปเพื่อเปิดทางให้รัฐบาล เพื่อเปิดทางให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาจัดแถวใหญ่ตำรวจอีกครั้ง
ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่มองข้ามความรู้สึกของตำรวจที่อยู่ในสภาพถูกกดขี่ข่มเหงต่อเนื่องยาวนานจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง ทุกคนต้องการเห็นนัก
การเมืองที่มองตำรวจด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช้เข้ามาแทรกแซง หรือโยกย้าย “ล้างบาง” หรือฉกฉวยผลประโยชน์จากการใช้อำนาจกดดันตำรวจ
ไม่มีทางจบสิ้น เพราะบทเรียนในอดีตที่ผ่านมา สุดท้ายรัฐบาลก็ไปไม่รอด…
เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นอดีตตำรวจ มีความรักองค์กรตำรวจ มีความเข้าใจวัฒนธรรมตำรวจ ต้องมองเห็นประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว
เงื่อนปมต่างๆของความแตกแยกขัดแย้งกันเอง มีทางคลี่คลายลงมาได้อีกไม่นาน แต่ต้องอาศัยความจริงใจของนักการเมือง และผู้นำรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ
การเข้ามาสลับจัดขั้วตำรวจเป็นเรื่องที่กระทำได้เพื่อให้เกิดความเหมาะสม ให้นโยบายขับเคลื่อนไปได้ แต่โยกย้ายล้างบางมีแต่บั่นทอนความเชื่อมั่น สุดท้ายก็ไม่เหลือความศรัทธาจากข้าราชการที่เป็นมือไม้ของรัฐบาล
การเปลี่ยนแปลงผู้นำตำรวจเป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องทำให้เกิดความยอมรับ และทำให้เกิดความเป็นธรรม
การขยับ พล.ต.อ.วิเชียร เปิดทาง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ไม่ใช่เรื่องยาก เป็นอำนาจเด็ดขาดฝ่ายการเมือง แต่ต้องมีเหตุมีผล เพราะคนที่เป็น “ผู้นำตำรวจ” มีผลงาน ยังเอาตัวไม่รอด โดนเล่นงานจากฝ่ายการเมืองอย่างไม่เป็นธรรม ไม่มีความผิด จะทำให้ตำรวจในทุกระดับชั้นเกิดความไม่มั่นใจในตำแหน่งหน้าที่ ไม่เชื่อมั่นรัฐบาล
สุดท้ายผลกระทบตกอยู่กับพี่น้องประชาชน ที่เป็นคนเลือกรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ.
ทีมข่าวอาชญากรรม
ⅷⅷ
未经允许不得转载:综合资讯 » การเมืองพลิกขั้ว สีกากีระส่ำ! หวั่นเปลี่ยนตัวผบ.ตร.