ทริปทัวร์ “บิ๊กโคล่า” ดูนัดชิงชนะเลิศศึกเอฟเอคัพ อังกฤษ ระหว่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนฯซิตี้ กับทีม “ช่างปั้นหม้อ” สโต๊ก ซิตี้ หนนี้ ถือเป็นหน 2 ในชีวิตที่ผมได้มาสัมผัสแมตช์ชิงบอลถ้วย “น็อกเอาต์” ที่มีมนต์ขลังมากที่สุดในโลก
ครั้งแรกกับเกมชิงดำเอฟเอคัพของผมเกิดขึ้นเมื่อปี 1997 หรือย้อนไปเมื่อ 14 ปีก่อนโน่น เป็นนัดชิงชนะเลิศที่ทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เอาชนะ มิดเดิลสโบรช์ ที่ยุคนั้นมี “ไบรอัน ร็อบสัน” กุมบังเหียนอยู่
เพื่อนร่วมทริปของผมในครั้งนั้น ลาโลกไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว 3 คน คือ “ท่านรองผู้การแป๊ะ” พล ต.ท.วิชัย วงศ์วิรุฬห์ อดีตรอง ผบ.ตำรวจน้ำ “พี่ไฮ้” สุภาพ ตันติราพันธ์ เหยี่ยวข่าวสายบอลรุ่นเก๋าจากบางกอกโพสต์ และอีกคนเป็นนักข่าวต่างประเทศของ นสพ.ไทยโพสต์ ชื่อ “พี่เหน่ง” (ขออภัยผมจำชื่อจริงไม่ได้)
แม้วันเวลาจะล่วงเลยผ่านไปสิบกว่าปี แต่บรรยากาศ สีสันของฟุตบอลเอฟเอคัพ เมืองผู้ดี
ยังยิ่งใหญ่อลังการเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง จะต่างกันก็ตรงที่ครั้งนี้นัดชิงที่นิวเวมบลีย์ ไม่มีสัญลักษณ์หอคอยคู่ให้เห็นอีกต่อไปมีแต่รูปปั้นท่านเซอร์บ๊อบบี้ มัวร์ ยืนกอดอกตระหง่านต้อนรับแฟนบอลอยู่หน้าสนาม และแท่งเหล็กโค้งรูปครึ่งวงกลมกลายมาเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของเมกะลูกหนังแห่งกรุงลอนดอน
ความจริงทั้ง 2 ทีมคู่ชิงชนะเลิศถือว่ามีความเกี่ยวพันกับคนไทยอยู่ไม่น้อย เพราะสโต๊กมีโทนี พูลลิส เป็นกุนซือใหญ่ และอีตาพูลลิสนี่แหละ ที่ชวนพ่อ “ลิงเผือก” ปีเตอร์ รีด ดอดหนีจากการเป็นโค้ชใหญ่ทีมชาติไทย กลับไปเป็นมือขวาของเขาที่อังกฤษ แต่ตอนนี้ได้ข่าวว่ารีดระเห็จไปอยู่ที่อื่นแล้ว
ส่วนแมนฯซิตี้ไม่ต้องพูดถึง หลายปีก่อนประธานใหญ่ของพวกเขาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยที่ชื่อ “เสี่ยแม้ว” พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถ้าจะว่ากันจริงๆแล้ว ก็เป็นคุณทักษิณนี่แหละที่เริ่มมาปลุกให้ทีมเรือใบสีฟ้าจากทีมธรรมดาๆ กลายมาเป็นมหาอำนาจลูกหนังรายใหม่ในปัจจุบัน
คณะของพวกเราถูกจัดให้นั่งอยู่ริงไซด์แถวแรกที่ชิดติดขอบสนามแบบสุดๆ โดยไปอยู่รวมกันทางฝั่งกองเชียร์แดง-ขาว ของ “เดอะ พอตเตอร์” สโต๊ก ซิตี้ แต่วันนั้นต้องยอมรับว่าทีมตราหม้อสู้พลังเกมรุกของทีมแมนฯซิตี้ไม่ได้จริงๆ
แทบทั้งเกมโดน 3 ประสานของทีมเรือใบ คาร์ลอส เตเบซ-ดาวิด ซิลบา-มาริโอ บาโลเตลลี ผลัดกันทะลุทะลวงจนแทบโงหัวไม่ขึ้น เรียกว่าแฟนสโต๊กที่นั่งอยู่รอบๆผม ยืนเกร็งกล้ามก้นลุ้นไม่ให้ทีมเสียประตูอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายพวกเขาก็โดนทีเด็ดของยายา ตูเร ตะบันบอลเข้าไปตุงตาข่ายจนได้ ในช่วงเกือบจะปลายของครึ่งหลัง
ประตูเดียวของทีมเรือใบสีฟ้าเพียงพอแล้วกับชัยชนะ 1-0 ที่ถือเป็นการปลดล็อก 35 ปีที่ตู้โชว์สโมสรว่างเปล่า
และนี่อาจเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของกุนซือโรแบร์โต มันชินี กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เฉกเช่นเดียวกับที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยเริ่มออกสตาร์ตมหากาพย์แมนฯยูไนเต็ด กับถ้วยเก่าแก่ใบนี้มาแล้ว
วันนั้นถือเป็นวันที่แฟนบอลบลูมูนของ แมนฯซิตี้ มีความสุขล้นทะลัก พวกเขาหันหลังกอดคอกันเต้น “พอซนัน แดนซ์” (Poznan dance) ฉลองแชมป์บนอัฒจันทร์อย่างสนุกสนานสุดเหวี่ยง โดยมีเสียงดนตรีร็อกของวงดังโอเอซีสปลุกเร้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมอยู่ในสนามยังนึกว่าคลื่นยักษ์สีฟ้ามหึมากำลังจะถล่มเวมบลีย์
พูดถึง “พอซนัน แดนซ์” ซึ่งเป็นท่าดีใจของกองเชียร์เรือใบที่กำลังเป็นที่ฮือฮาอยู่ในเวลานี้ สอบถามผู้รู้มาแล้ว ทราบว่าเป็นลีลาการเชียร์ที่แฟนๆแมนฯซิตี้ ลอกเลียนแบบมาจากกองเชียร์ของสโมสรเลช-พอซนัน ยอดทีมดังโปแลนด์ ที่พวกเขาโคจรมาเจอกันในศึกยูโรปาลีกฤดูกาลนี้
ต้องยอมรับว่าเรื่อง “อินเทรนด์” กับกระแสแฟชั่นการเชียร์บอล แฟนลูกหนังไทยแลนด์ไม่เป็นสองรองใครจริงๆครับ
เมื่อวานผมกลับถึงบ้าน เปิดทีวีดูข่าวกีฬาแล้วอดอมยิ้มไม่ได้
ก็กองเชียร์บ้านเรานี่สิ ไม่ทันไรก็ก๊อบท่าพอซนัน แดนซ์ มาโชว์สเต็ปสร้างสีสันในไทยลีกซะแล้ว!!!
"บี บางปะกง"
ゴゴ
未经允许不得转载:综合资讯 » ดูเรือเถือหม้อ (2)